วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2551

วันพ่อแห่งชาติ


5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทางราชการได้กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการหนึ่งวัน เพื่อให้ประชาชนชาวไทย ได้ร่วมกันเฉลิมฉลองในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ ถือเป็นวันพ่อแห่งชาติ อีกวันหนึ่งด้วย วันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความเป็นมาของวันสำคัญ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาล เมาท์ ออเบิร์น นครบอสตัน สหรัฐอเมริกา โดยนายแพทย์วิทท์มอร์ เป็นผู้ถวายการประสูติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 9 แห่งบรมจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์ ทรงประกอบพระราชกรณียกิจและเจริญพระราชจริยาวัตรเป็นเอนกประการ จำเนียรกาลผ่านมาถึงปัจจุบันที่สุดจะพรรณนาให้ครบถ้วนได้ ท่ามกลางมหาสมาคมวันพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก ทรงมีกระแสพระราชดำรัสที่พสกนิกรทุกคนยังจดจำได้ "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม" อันคำว่าโดย "ธรรม" นั้น ทรงหมายถึง ธรรมอันล้ำเลิศที่เรียกว่า "ทศพิธราชธรรม" หรือที่เรียกกันโดยสามัญว่า "ราชธรรม 10 ประการ" ราชธรรม 10 ประการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยึดมั่นทรงปฎิบัติโดยเคร่งครัด และส่งผลถึงพสกนิกรทั่วพระราชอาณาจักรนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเหนือเกล้าฯ วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริ่เริ่ม หลักการและเหตุผลในการจัดตั้งวันพ่อ โดยที่พ่อเป็นผู้มีพระคุณที่มีบทบาทสำคัญ ต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสมควรที่สังคมจะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น "วันพ่อแห่งชาติ" ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างนานัปการ ทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงรักใคร่และห่วงใยตั้งแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งพระเจ้าหลานเธอทุกพระองค์ต่างซาบซึ้งและปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณอย่างมิรู้ลืม พระองค์ทรงเป็น "พ่อ" ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา ทรงห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้
กิจกรรมที่ควรปฎิบัติในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
1.ประดับธงชาติที่อาคารบ้านเรือน2.จัดพิธีศาสนสงฆ์ ทำบุญใส่บาตร อุทิศเป็นพระราชกุศล น้อมเกล้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล3.จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล

วัตถุประสงค์ของการจัดวันพ่อแห่งชาติ
1. เพื่อเทิดทูนพระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว2. เพื่อเทิดทูนพระคุณของพ่อ และยกย่องบทบาทของพ่อที่มีต่อครอบครัวและสังคม3. เพื่อให้ลูกได้แสดงความกตัญญูต่อพ่อ4. เพื่อให้ผู้เป็นพ่อได้สำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบของตนกลอนวันพ่อ
บทร้อยกรองเทิดพระเกียรติ
อันราชาเลี้ยงรักษาซึ่งทวยราษฎร์ควรที่บุตรสุดที่รักจักจุนเจือ
ประดุจเป็นปิตุราชอยู่ทุกเมื่อพระคุณนั้นให้อะเคื้อด้วยภักดี
กลอนวันพ่อ

ทุกบุปผา มาลัยคือใจราษฎร์พระ คือ บิดาข้าแผ่นดินลุ ๕ ธันวามหาราช พระเปี่ยมล้นด้วยเมตตาเอื้ออาทร
ภักดีบาทองค์บพิตรเป็นนิจสินร่วมร้อยรินมาลัยถวายพระพร"วันพ่อแห่งชาติ" คือองค์อดิศรพสกนิกรเป็นสุขทุกคืนวัน
กลอนวันพ่อ
พ่อคนนี้คนดีเป็นที่หนึ่งจะทำดีโดยไม่ต้องรีรอ
คิดคำนึงถึงพ่อคนนี้หนอลูกจะขอให้พ่อมีสุขเอย
5 ธันวา วันพ่อ ก่อเกิดสุข สร้างเสริมลูก เผ่าไทย ขยายผลลูกขอกราบ แทบเท้า เอามงคล ลูกทุกคน รักพ่อ ขอแทนคุณงานพ่อหนัก ลูกประจักษ์ ในดวงจิต ขออุทิศ กายใจ สนับสนุนลูกทุกคน รักพ่อ พร้อมเทิดทูน ขอเนื้อบุญ จงบันดาล ผสานใจทั่วแผ่นดิน ถิ่นแคว้น แดนเหนือใต้ ทรงห่วงใย เสริมสร้าง ทางสดใส ให้รักษ์น้ำ รักษ์ดิน ตราบสิ้นใจ ขาดสิ่งใด ก็ไร้ค่า พาเศร้าตรม เมื่อดินดำ น้ำชุ่ม ไม่กลุ้มจิต สร้างชีวิต เสริมชีวา พาสุขสม สุขภาพดี ถ้วนหน้า ธันวาคม ชาวโลกชม พ่อไทย จากใจจริง
สัญลักษณ์วันพ่อ
คือดอกพุทธรักษา

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

แบตมือถือ อันตรายใกล้ ๆ ตัว


ก่อนหน้านี้คาดว่าหลาย ๆ คนน่าจะได้ยินข่าวเรื่องการระเบิดของโทรศัพท์มือถือกันมาบ้างแล้ว ซึ่งข่าวนี้ก็ทำเอาบรรดาขาแชทช่างคุยทั้งหลายหวั่น ๆ ไปกันพักใหญ่เลยทีเดียว

ซึ่งตัวการในเหตุคราวนี้คงหนีไม่พ้น "แบตเตอรี่" ในมือถือนั่นเอง เพราะฉะนั้นเรามาทำความรู้จักกับ "แบตเตอรี่" ที่ว่านี้หน่อยดีมั้ย


แบตเตอรี่มือถือที่ใช้ทุกวันนี้ มีหลายชนิดไม่ว่าจะเป็น นิกเกิล แคดเมียม (NI-CD) นิกเกิล ไฮดราย (NI-MH) ลิเทียม โพลิเมอร์ (LI-POL) ลีด เอซิด (Lead Acid) และ "ลิเธียม - ไอออน" ซึ่งเป็นชนิดที่ใช้กันแพร่หลายมากที่สุด และมีโอกาสระเบิดสูงสุดเช่นกัน


ทั้งนี้แบตเตอรี่ลิเธียม - ไออนถูกประดิษฐ์ขึ้นมาแทนที่นิกเกิล ไฮดราย นั้นมีคุณสมบัติพิเศษ คือ น้ำหนักเบาและสะสมพลังงานได้หนาแน่นกว่าแบตเตอรี่ชนิดอื่น ๆ แต่เนื่องจากวัตถุดิบในการผลิตลิเธียม - ไอออนมีส่วนผสมของ"โคบอลต์ออกไซด์" ทำให้เมื่อตัวแบตเตอรี่โดนความร้อนสูงในระดับหนึ่งจะเกิดปฏิกิริยาเร่งความร้อนเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ ส่งผลให้แบตเตอรี่ไหม้ หรือ ระเบิดในที่สุด


แต่ก็ไม่ใช่ว่าสาเหตุที่มือถือระเบิดจะแบตเตอรี่เสียทั้งหมด เพราะบางครั้งก็มาจากความบกพร่องของอุปกรณ์ ชิ้นส่วน รวมทั้งระบบการทำงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การที่ชิ้นส่วนภายในเครื่องมือถือเกิด ไฟฟ้าลัดวงจร หรือ ชิ้นส่วนบางตัวในมือถือบกพร่องมาแล้วตั้งแต่ผลิตออกจากโรงงาน และอาจจะมาจากข้อบกพร่องของระบบชาร์จไฟในมือถือได้เช่นกัน


นอกจากนี้การชาร์จแบตเตอรี่ให้ถูกวิธีก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะสามารถป้องกันมือถือระเบิดได้ โดยขั้นตอนการชาร์จแบตเตอรี่นั้น ไม่ควรชาร์จนานเกิน 24 ชั่วโมง เพราะจะมีผลให้อุณหภูมิของแบตเตอรี่มีความร้อนสูงขึ้น แม้วงจรของแบต และเครื่องโทรศัพท์จะมีการสั่งให้หยุดชาร์จแล้วก็ตาม


หากแบตเตอรี่ยังเหลืออยู่อีกเยอะก็ไม่ควรชาร์ตใหม่ ควรรอให้แบตหมดเสียก่อนจะดีกว่า และที่สำคัญก็คือแบตเตอรี่ของมือถือแต่ละยี่ห้อนั้นอาจจะผลิตออกมาเหมือน ๆ กัน แต่ก็อาจจะมีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างกัน ดังนั้นต้องอ่านและปฏิบัติตามคู่มือดีที่สุด

ซึ่งสิ่งเหล่านี้นั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ก็มองข้ามไปไม่ได้เลยนะคะ เพราะอาจจะมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

5 สถานที่ เสี่ยงเสียตัว!!


เมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น เชื่อได้เลยว่าทุกคน ต้องตกอยู่ใน ห้วงแห่งความรักกันบ้าง .. อยากมีหนุ่มสักคน ไม่ยากหรอก แค่น้องๆนู๋ๆ ทำให้เค้ารู้ว่าเราสนใจ เข้าไปทำความรู้จัก คุยโทรศัพท์กันบ้าง เพื่อเพิ่มความสนิทสนม แต่ถ้าคิดว่ายังไม่หนำใจ คงต้องมีการพบปะ สังสรรค์ หรือที่เรียกง่ายๆว่า การออกเดท ...


อ๊ะ เมื่อได้เดทกับชายหนุ่ม เป็นใครก็ต้อง ตื่นเต้น สาวๆต้องเตียมตัวรับมือ แล้วหละ จะได้เป็นการออกเดท อย่างแฮปปี้ยังไงเล้า..


ขั้นแรก แต่งตัวให้เข้ากับตัวเองให้มากที่สุด แต่อย่าโป๊นะจ๊ะมันเสี่ยงอันตราย และหนุ่มๆเค้าจะหาว่าเราเป็นพวกใจง่ายได้ และทางที่ดีน้องๆควรเป็นคนเลือกสถานที่เอง เพราะใครจะไปรู้ว่าใจจริงแล้วหนุ่มๆเค้าต้องการอะไร อาจหวังเผด็จศึกภายในวันเดียวเลยก็ได้ ... แต่หากฝ่ายชายเค้ายืนยันนอนยัน ว่าขอเป็นคนเลือกสถานที่เอง พี่จะแนะน้องๆให้จำขึ้นใจเลยว่า มี 5 สถานที่เสี่ยงต่อการเสียสาวมากที่ซู๊ดดด ... อยากรู้มาดูเลย ว่ามีที่ไหนบ้างนะ

1. โรงภาพยนตร์
แน่ะ สงสัยละสิว่าโรงภาพยนตร์เนี่ยนะ อันตรายตรงไหน คนก็เยอะ ทำไมถึงเป็นสถานที่เสี่ยงอันดับ 1 เลย เคยได้ยินไหมจ๊ะ ที่เค้าบอก "ที่ๆปลอดภัย คือที่ๆอันตรายที่สุด" คิดละสิ่ว่า โอ่ย ออกเดท ใครๆก็ต้องคิดอย่างแรกเลยคือไปดูหนังกัน แค่นี้เองกิจกรรมง่ายๆ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย อ๊ะ แต่เปล่าเลย มันไม่ใช่แค่นั่งดูหนังเฉยๆนิ ด้วยบรรยากาศในโรงหนังมันทั้งมืด และมีเบาะสูงๆกั้นระหว่างแถว แถมคนที่มาดูหนังก็หันหน้าสนใจจออยู่นั่นน่ะ ใครจะไปรู้ว่าหนุ่มข้างๆเรา อาจจะแปลงร่างเป็นปลาหมึก มือยั้วเยี้ยแอบมากอดจูบลูบคลำเราได้โดยไม่ทันตั้งตัว สาวไหนอ่อนหัดก็อาจจะปล่อยให้เค้าทำอย่างนั้น
วิธีรับมือ กับสถาณการณ์อย่างนี้ น้องต้องแสดงอาการปฏิเสธโดยทันที เช่นเอามือปัดออก ชักสีหน้าหงุดหงิดใส่ หรือโวยวายเสียงดัง ถ้าเค้าไม่บ้าหื่นเกินไปคงรู้ตัวว่าเราไม่ชอบ แต่ถ้ามันยังทำต่อไปก็ลุกเดินออกมาเลยดีกว่า เพราะเค้าคงไม่หวังดีกับเราแน่ๆ นี่แค่เดทแรกยังเป็นงี้ ขืนปล่อยเลยตามเลย มีหวัง...น้ำตาเช็ดหัวเข่า นอนร้องไห้กระซิกๆ


2. สวนสาธารณะ
แม้จะเป็นที่โล่งแจ้ง แต่ด้วยบรรยากาศดี๊ดี อาจทำให้อารมณ์พาเพลิน เผลอนัวเนียกันได้ ไม่รู้ตัว โฮ๊ะๆอย่าเชียวน้อง สังเกตให้ดี หากเค้าชวน เดินไปนั่งเล่นในที่ลับตาผู้คน มืดๆ เงียบๆแล้วล่ะก็ ไม่ต้องสืบเลยน้องเอ๋ย ตอนนั้นจะตะโกนร้องให้ใครช่วย คงยาก แถมยังอาจเสี่ยงโดนพวกมิจฉาชีพสอยไปทั้งคู่ ทีนี้ไม่โดนแค่คนเดียวแน่ .. อย่างที่เคย ลงเป็นข่าวมาแล้วน่ะค่ะ
ทางที่ดีการรับมือ กับสถานการณ์แบบนี้ ควรเลี่ยงขอตัวไปเข้าห้องน้ำ และแอบโทรบอกเพื่อนสนิทเรา ให้โทรมาหาเราใหม่ในตอนที่เราอยู่กับเค้า และแกล้งทำเป็นมีเรื่องสำคัญขอปลีกตัวกลับมาก่อนก็เท่านั้นแหละ


3. สถานที่เที่ยวกลางคืน
แน่นอนพี่ว่าน้องๆคงฉลาดพอไม่ไปนัดเดทกันในที่แบบนี้แน่นอน คงไม่ต้องสืบอิกแหละค่ะว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ขืนถ้าน้องหลงเชื่อไปเดทกับเค้า ในที่แบบนี้ เหมือนเอาตัวเองไปขึ้นเขียงให้เค้าเชือดชัดๆ ไหนจะผู้คนเยอะแยะมั่วสุม เหล้า เบียร์ ดื่มกันไปเคลิ้มกันไปเต้นกันไปลูบคลำกันไป..
โอ่ย...อันตรายสุดๆ ยิ่งน้องๆ ยังเด็กๆ กันอยู่นี่ ไม่รู้ลีมิตตัวเองมีหวัง เมาหลับปลิ้นไม่รู้เรื่อง โดนเค้าพาไปไหนต่อไหนขัดขืนไม่ได้อิก ทีนี้ไปกันใหญ่ เผลอๆอาจโดนรุมโทรมแบบตามหน้าหนังสือพิมพ์มาอิก แย่แน่ทีนี้
วิธีแก้สถานการณ์ ยิ่งถ้าเป็นสถานที่ที่เราไม่คุ้นเคยด้วยแล้วละก็ ให้โทรบอกที่บ้านไว้ หรือให้พาเพื่อนไปด้วย หรืออาจจะแอบให้เพื่อนไปซุ่มอยู่โต๊ะข้างๆ ช่วยดูพฤติกรรมว่าไว้ใจได้ไหม ถ้าเกิดหนุ่มนั่นทำตัวไม่เข้าท่าแล้วละก็ จะได้ช่วยเหลือดึงเรากลับบ้านได้ทันเวลา


4. โรงแรม

ไม่มีเหตุผลใดเลยนะ ที่หนุ่มๆเค้าจะพาเรา เข้าโรงแรม จะอ้างว่าพามาทานข้าว หรือไปพักผ่อนมันไม่ใช่เรื่องจ่ะ พี่ขอเตือนเลย ว่าอย่าไปเด็ดขาด ปฏิเสธไปเลยโดยไม่ต้องคิด ว่าไม่ เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นนี่ น้องสู้แรงผู้ชาย ไม่ไหวแน่ๆ ยิ่งสถานที่สวยๆบรรยากาศดีๆ ชวนให้น่าหลับนอนยิ่งไม่ได้เด็ดขาด ผิดมากๆ เลี่ยงได้ก็เลี่ยงเถอะจ้า และถ้าเดทแรก เค้าส่อพิรุธขนาดนี้ หนุ่มนี่คงไม่เหมาะที่น้องๆ จะมาเสียเวลาด้วยแน่ๆ เพราะถ้าขืนเลยตามเลยต่อไปมีหวัง นอกจากเสียเวลา อาจเสียตัวได้โดยง่ายนะจ๊ะ


5. บ้านของเค้า

หวาน...ดั่งลาบปากมาโปรด ... น้องๆอาจจะคิดว่ามันคงไม่มีอะไรน่าอันตราย แต่มันมีอะไรมากกว่าที่เราคิดนะ เพราะการที่ผู้หญิงยินยอมเข้าบ้านผู้ชายนั้น เท่ากับเราเข้าถ้ำเสือ ที่ๆเค้า ทำอะไรเราก็ได้ง่ายๆ สบายเลย เหมือนว่าเราเสนอตัวให้แก่เค้า ทั้งๆที่เราเองไม่ได้คิดแบบนั้น ยิ่งถ้าพลาดเข้าห้องนอนเค้าละก็ รายไหนรายนั้นเลยน้องเอ๋ย


หากพลาดพลั้งเสียสาวไปแล้ว ทั้งเสียใจ พูดอะไรไม่ได้เพราะเจ้าหนุ่มนั่น ก็อ้างได้ว่าเรามาเอง ทางที่ดีชวนมาบ้านเราดีกว่า อ๊ะ..แต่ต้องตอนที่มีคนอยู่บ้านเราด้วยนะ ไม่ใช่ชวนมาบ้านเรา แต่ไม่มีคนอยู่ นี่ก็อันตรายเหมือนกันจ้า ..

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551




ประวัติย่อๆ : ชื่อ : บริทนีย์ ฌ็อง สเปียร์ส (Britney Jean Spears) ชื่อเล่น : บริท หรือ พิงค์กี้ (Brit or Pinkey)
วันเกิด : 2 ธันวาคม 2524
สถานที่เกิด : เมืองเคนท์วู้ด รัฐหลุยเซียน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา
( Kentwood, Louisiana , USA)
ส่วนสูง : 5 ฟุต 4 นิ้ว หรือ 163 ซม.
สีนัยน์ตา : น้ำตาล
สีผมตามธรรมชาติ : สีบลอนด์
บิดาชื่อ : เจมี่ (Jamie) เป็นนักธุรกิจการก่อสร้าง
มารดาชื่อ : ลินน์ (Lynn) เป็นครูสอนในชั้นประถมศึกษาที่ 2
พี่ชายชื่อ : ไบรอัน (Bryan) เกิดปี พ. ศ. 2520
น้องสาวชื่อ : เจมี่ ลินน์ (Jamie Lynn) เกิดปี พ. ศ. 2534
ศิลปินในดวงใจ : มาดอนน่า และมาราย แครีย์ (
Madonna and Mariah Carey)
เพื่อนซี้ : ซาร่า มิแชล เกลล่าร์ (
Sarah Michelle Gellar)
เมื่อครั้นบริทนี่ย์ สเปียร์ ยังเป็นเด็ก เธอได้เข้าร่วมการแสดงละครเพลงและเป็นหนึ่งในคณะนักร้องในโบสถ์ โดยการสนับสนุนจากมารดาซึ่งเป็นผู้จัดการ เธอได้เข้าร่วมรับการคัดเลือกตัวแสดงที่รายการ “ คลับมิคกี้ เมาซ์” ( MickeyMouse Club ) ของ ช่องดิสนีย์ (Disney) ที่เมืองแอตแลนต้า (Atlanta) แต่บริทนีย์มีอายุเพียงแค่ 8 ขวบเท่านั้น ดังนั้น เธอยังเด็กเกินไปที่จะเข้าร่วมแสดง อย่างไรก็ตาม โปรดิวเซอร์ของทางดิสนีย์ได้เห็นแววทางการแสดงของเธอ จึงยื่นข้อเสนอส่งตัวเธอไปเรียนการแสดงเพิ่มเติม ในช่วงปิดเทอม 3 เดือน ใน ” ศูนย์การเต้นรำออฟ- บรอดเวย์” (Off-Broadway Dance Center) ซึ่งจัดการแสดงละครแบบทดลองในโรงละครเล็กๆ และเรียนที่ “ โรงเรียนสอนศิลปะการแสดงสำหรับมืออาชีพ” (Professional Performing Arts School) ที่เมืองนิวยอร์ค (New York City) หลังจากนั้น บริทนี่ย์ก็เริ่มมีงานโฆษณาทางทีวีและการแสดงละครที่โรงละครมากมาย จนกระทั่งเมื่อบริทนีย์มีอายุ 11 ปี เธอได้เข้าร่วมการแสดงที่คลับมิคกี้ เมาซ์ ( พ. ศ. 2536-2537)

หลังจากนั้น 2 - 3 ปี เธอเริ่มต้นชีวิตการเป็นนักร้อง และได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินในสังกัดของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่อย่าง “ จิฟ รีคอร์ด” (Jive Records) โดยได้ร่วมงานกับโปรดิวเซอร์ชื่อดังอย่าง “ เอริค ฟอสเตอร์” (Eric Foster) ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ “ วิทนีย์ ฮูสตัน” (Whitney Houston) และ “ แม็คซ มาร์ติน” (Max Martin) ผู้ที่ทำงานเพลงให้แก่ “ แบ็คสตรีท บอยซ” (Backstreet Boys) ด้วยการเปิดตัวในอัลบั้มแรกที่ชื่อ “ วัน มอร ไทม” (One More Time) ในวันที่ 12 มกราคม พ. ศ. 2542 บริทนี่ย์ก็เป็นศิลปินแนวป็อปแดนซ์ซึ่งเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก โดยอัลบั้มนี้ขายได้ถึง 13 ล้านแผ่นทีเดียว อีกทั้งยังติดชาร์ตอันดับหนึ่งและรักษาอันดับคงที่อยู่เป็นเวลานานถึง 6 สัปดาห์ ซิงเกิ้ลท็อบเท็นของอัลบั้มนี้ คือ เพลง “ ยู ไดรฟ มี ( เครซี่)” You Drive Me (Crazy) และเพลง “ ฟอร์ม เดอะ บ็อตทอม ออฟ มาย โบรคเค็น ฮาร์ท” (From the Bottom of My Broken Heart)

บริทนีย์ได้ออกเดทกับจัสติน ทิมเบอร์เลค (
Justin Timberlake ) นักร้องชื่อดังตั้งแต่ พ. ศ. 2541 และทั้งสองได้เลิกลากันไปเมื่อ พ. ศ. 2545

อัลบั้มที่สองของเธอ คือ “ อูฟส์ !... อาย ดิด อิท อเกน” (Oops!...I Did It Again) ได้ออกสู่สาธารณชนในวันที่ 16 เดือนพฤษภาคม พ. ศ. 2543 อัลบั้มนี้ยังคงขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งและขายได้เกินล้านแผ่นในสัปดาห์แรก และเกินเก้าล้านแผ่นในเดือนกรกฎาคม พ. ศ. 2544 เหล่าซิงเกิ้ลฮอตของเธอ ได้แก่ เพลง “ อูฟส์ !... อาย ดิด อิท อเกน” และเพลง “ โดท เล็ท มี บี เดอะ ลาส ทู โนว” (Don't Let Me Be the Last to Know)

สำหรับอัลบั้มถัดไปของเธอที่ชื่อ “ บริทนีย์ ” ( Britney ) ได้ออกสู่ตลาดในวันที่ 6 พฤศจิกายน พ . ศ . 2544 บริทนีย์ได้ตั้งใจแสดงให้เห็นว่า เธอเป็นศิลปินที่เป็นเด็กสาวซึ่งโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และดูเหมือนจะตั้งใจบอกเป็นนัยว่า เธอไม่ใช่เด็กสาวไร้เดียงสาบริสุทธิ์ซะทีเดียว คราวนี้ อัลบั้มที่สามของเธอยังคงขึ้นติดอันดับหนึ่ง ถึงแม้ว่า ในช่วงนี้ เพลงต่างๆของเธอในอัลบั้มจะไม่ประสบความสำเร็จนัก อย่างเช่น เพลง “ แอม น็อท อะ เกิล น็อท เย็ท อะ วูเมิน” (I'm Not a Girl, Not Yet a Woman) และเพลง “ โอเว่อร์โพรเท็คทิด” (Overprotected) ซึ่งต่างพลาดไม่ติดชาร์ตท็อบเท็น

อัลบั้มที่สี่ของเธอ “ อิน เดอะ โซน” ( In The Zone ) ได้ออกมาในวันที่ 18 พฤศจิกายน พ. ศ. 2546 โดยร่วมร้องในเพลง “ มี อะเก็นสท เดอะ มิวสิค” ( Me Against The Music ) กับ มาดอนน่า (
Madonna ) ด้วย

ในปี พ . ศ . 2547 เพลง “ ท็อคสสิค” ( Toxic ) ของบริทนีย์ได้ออกสู่สายตาของพวกเรา ด้วยมิวสิควีดีโออันวาบหวิว และวิ่งขึ้นเป็นเพลงอันดับหนึ่งในประเทศอังกฤษ ตามมาด้วยความสำเร็จของการเผยแพร่มิวสิควีดีโอที่ชื่อ“ เอวริไทม”( Everytime )
ใน พ . ศ. 2547 บริทนีย์ได้จัดงานวิวาห์ขึ้นสองครั้ง ครั้งแรกในวันที่ 3 มกราคม เธอได้เข้าพิธีแต่งงานกับเพื่อนสมัยเด็กที่ชื่อ “ เจสัน อเล็กซานเดอร์” ( Alexander ) ในเมืองลาส เวกัส ( Las Vegas ) แค่เพียงสองวันต่อมา ทั้งสองก็ได้แยกทางกัน หลังจากนั้นเพียงไม่นาน เธอได้หมั้นหมายกับ “ เคววิน เฟเดอร์ลิน” ( Kevin Federline ) อดีตแดนเซอร์เก่าของเธอ ทั้งสองได้เข้าพิธีสมรสในวันที่ 18 กันยายน ท่ามกลางเหล่าญาติมิตรสหายเท่านั้น ในนครลอสแองเจลิส

อัลบั้มพิเศษที่ชื่อว่า “ เกรทเท็สท์ ฮิตส์ : มาย พรีโรเกทิฟ”

(Greatest Hits: My Prerogative) ได้ออกสู่ตลาดในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ. ศ. 2547 อัลบั้มนี้ได้รวบรวมบรรดาเพลงสุดฮิตและ เพลงโบนัสที่เราไม่เคยได้ยินในอัลบั้มใดของเธอมาก่อน
http://www.biogs.com/famous/spearsbritney.html
http://www.imdb.com/name/nm0005453/bio

ผลงานอื่นๆ ของเธอ :
- ในปี พ. ศ. 2544 บริทนีย์ได้ตกลงทำสัญญากับทางเป็ปซี่ (Pepsi) ในการถ่ายโฆษณาทีวี โปรโมทน้ำอัดลมชนิดนี้ โดยโฆษณาชิ้นนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดซ ปี 2001 (2001 Academy Awards) เธอได้รับค่าตอบแทนจากเป็ปซี่ทั้งหมดมากกว่า 10 ล้านเหรียญดอลลาร์ หรือประมาณมากกว่า 300 กว่าล้านบาท

- ในช่วงที่เธอออกอัลบั้มที่สามของเธอ บริทนีย์ สเปียร์ส ได้แสดงภาพยนตร์เรื่องแรกของเธอที่ชื่อว่า “ คร็อซโรดซ ” (Crossroads) ในพ . ศ . 2545 โดยนำแสดงร่วมกับ จัสติน ลอง ( Justin Long )

- บริทนีย์ได้ออกน้ำหอมของเธอเอง ยี่ห้อ “ คิวเรียส”’ (Curious) ในฤดูใบไม้ร่วง ปี พ. ศ.2547 ยี่ห้อน้ำหอมของเธอนั้นได้เป็นหนึ่งในบรรดาน้ำหอมที่ขายดีที่สุดในปีเดียวกัน

รางวัลที่เธอได้รับ ภายในประเทศสหรัฐอเมริกา :

รางวัลมิวสิค อวอร์ดซของชาวอเมริกัน (AMERICAN MUSIC AWARDS)
พ . ศ. 2543 ศิลปินหน้าใหม่ที่ดีเด่นที่สุด (Best New Artist)

รางวัลบิวบอร์ด อวอร์ดซ (BILLBOARD AWARDS)
พ . ศ. 2547 ซิงเกิ้ลแนวแดนซ์ที่ขายดีสุดฮอตแห่งปี ที่ชื่อว่า “ มี อะเก็นสท์ เดอะ
มิวสิค” ร่วมกับมาดอนน่า (Hot Dance Sales Single of the Year for
“Me Against the Music” collaboration with Madonna)
พ . ศ. 2543 ศิลปินที่มีอัลบั้มยอดเยี่ยมแห่งปี ที่ชื่อว่า “ “ อูฟส์ !... อาย ดิด อิท อเกน”
(Album Artist of the Year for “Oops!... I Did It Again”)
พ . ศ. 2542 ศิลปินหญิงยอดเยี่ยมแห่งปีและศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยมแห่งปี
(Female Artist of the Year and New Artist of the Year)

รางวัลแกรมมี่ อวอร์ดซ (GRAMMY AWARDS)
พ . ศ. 2548 แผ่นเสียงแนวแดนซ์ที่ดีเด่นที่สุด (Best Dance Recording)
http://www.britneyspears.com

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

โยเกิร์ตรักษาแผล


ถ้าพูดถึงโยเกิร์ตหลายคนคงจะนึกถึงความอร่อย มีประโยชน์ หรือไม่ก็เรื่องความสวยความงาม ที่จะนำโยเกิร์ตไปผสมเป็นสูตรพอกหน้าของสาวๆหลายๆท่าน แต่ในวันนี้เรามาดูอีกประโยชน์นึงของโยเกิร์ตที่เราไม่ค่อยได้พบ คือ การนำโยเกิร์ตมาช่วยสมานแผล


ใครที่โดนรองเท้าคู่สวยกัด งับ งับ จนเป็นแผลที่แสนจะเจ็บกันบ้าง ถ้าเป็นแบบนี้ถ้าปล่อยไว้ต้องทนเจ็บอีกหลายวันแน่ๆกว่าจะหาย แต่คุณรู้ไหมว่าโยเกิร์ต ที่สุดแสนจะธรรมดา...เนี่ย สามารถที่แก้อาการรองเท้ากัดได้ด้วยหล่ะค่ะ


ส่วนผสม

โยเกิร์ต 2 ช้อนโต๊ะ

น้ำส้มสายชู 1 ช้อนชา


เอาทั้งสองอย่างมาคนให้เข้ากันนะค่ะ และเอาไปทา บนแผลที่เราถูกรองเท้ากัดมานะค่ะ โดยแบคทีเรียตัวเป็นๆ ในโยเกิร์ตจะช่วยรักษาแผลให้หายเร็วขึ้น ส่วนน้ำส้มสายชูนั้นจะช่วยสมานรอยฟกช้ำ


ลองทำกันดูนะคะ แผลที่เราถูกรองเท้ากัดนี้จะได้ไปเจ็บนานหลายวัน

วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

นกค็อกคาทู (Cockatoo)

COCKATOO จัดอยู่ในหมู่นกแก้ว มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Psittacus novaehollandiae Taxanomy
Kingdom : Animalia
Phylum : Chordata
Sub-phylum : Vertebrata
Class : Aves
Sub-class : Neornithes
Super-order : Neognathae
Order : Psittaciformes
Family : Cacatuidae
Sub-family : Cacatuinae
Genus : ...
Species : ...
Sub-species : (Where applicable)
ถิ่นกำเนิด นกแก้วชนิดนี้อยู่ในออสเตรเลียเพียงแห่งเดียว กล่าวกันว่านกแก้วชนิดนี้บางตัวมีอายุยืนถึง 100ปี เช่นเดียวกับ นกแก้วพันธุ์ใหญ่ๆโดยทั่วไป
ลักษณะทั่วไป
นกแก้วที่เรียกชื่อว่า "คอคคาทู" โดยทั่วไปแล้วถือกันว่าเป็นนกเลี้ยงที่มีรูปร่างสวยงามมาก
ลำตัว จะมีสีขาวหรือสีเทาจนถึงสีเทาเข้ม
ขนศรีษะ ตั้งเป็นยอดสูงเรียงหลั่นกันไปคล้ายหงอน
จงอยปาก มีขนาดใหญ่และมีกำลังมากในการจิกแทะ
อุปนิสัย
นกแก้วชนิดนี้ไม่ชอบอยู่ตัวเดียวอย่างโดดเดี่ยว เป็นมิตรกับคนได้ดีเพราะมีนิสัยชอบคบหาสมาคม
นกแก้วชนิดนี้มีอารมณ์รุนแรง รักใครชอบใครก็ทุ่มเทให้จนสุดหัวจิตหัวใจ คอคคาทูจะมีความสุขมากเมื่อได้อยู่ใกล้เจ้าของ และชอบแสดงตนเป็นเจ้าของและเกิดการหึงหวงโดยไร้เหตุผล ใครมาทำผิดหูผิดตาก็จะแสดงกิริยาออกมาอย่างรุนแรงที่สุด ได้ชื่อว่าเป็น “นกขี้หึง”
นกแก้วคอคคาทู ชอบอาบน้ำ ฉะนั้นผู้เลี้ยงควรอาบน้ำให้นกทุกวัน เพื่อทำให้นกร่าเริงและมีขนสวยงาม
คอคคาทูชอบของเล่นที่มีส่วนประกอบที่เป็นกระดิ่ง โดยเฉพาะนกที่ถูกเลี้ยงตัวเดียว เพราะนกจะรู้สึกว่ากระดิ่งเป็นเพื่อนของมัน เนื่องจากกระดิ่งจะส่งเสียงดังทำให้มันไม่รู้สึกเหงาหรือรู้สึกว่ามันอยู่เพียงลำพพังกระจกก็เป็นของเล่นอีกชิ้นหนึ่งที่คอคคาทูชื่นชอบ เพราะมันจะมองเห็นตัวของมันเอง เปรียบเสมือนว่ามันมีเพื่อนอยู่กับมัน
นกชนิดนี้ร้องเสียงดังและเลียนตามคำได้น้อย จึงไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีความมุ่งหมายในการเลี้ยงนกแก้วเพื่อฝึกให้พูดคุยกระซิบกระซาบ
การแบ่งประเภท Cockatoo
White cockatoo
Sulphur-crested cockatoo
Bloodstained cockatoo
Slender-billed cockatoo
Umbrella-crested cockatoo
Blue eyed cockatoo
Goffin’s cockatoo
Ducorp’s cockatoo
Pink cockatoo
Leadbeater’s cockatoo
Roseate cockatoo
Salmon-crested cockatoo
Black cockatoo
Gang-Gang cockatoo
Palm cockatoo


.................................................................................................................................
GREAT SULPHUR-CRESTED COCKATOO
ลักษณะทั่วไป
เกรท ซัลเฟอร์-เครสท์ ลำตัวเป็นสีขาว
บนศรีษะหรือหงอนนั้นมีสีเหลืองคล้ายสีกำมะถัน จึงมีชื่อเรียกตามลักษณะว่า"หงอนเหลือง"
บริเวณใต้คางและปีกก็มีสีเหลืองแต้มเป็นจุด ๆ
ขนาดของลำตัววัดจากจะงอยปาก จนถึง ปลายหางยาวประมาณ 20นิ้ว
อุปนิสัย
เป็นนกที่แข็งแรง กินอาหารเก่ง กล่าวกันว่านกแก้วชนิดนี้มีอายุยืนถึง138ปี
การผสมพันธุ์
การผสมพันธุ์ของนกแก้วชนิดนี้ ต้องปล่อยให้ผสมพันธุ์กันเองตามธรรมชาติอย่างอิสระ ไม่มีอะไร มารบกวน
อีกชนิดหนึ่งซึ่งมีลักษณะเหมือนนกแก้วชนิดนี้มาก คือ เลซเซ่อร์ ซัลเฟอร์-เครสท์ (Lesser-Sulphur-crested) จัดเป็นนกแก้วชนิดหงอนเหลืองเหมือนกันแต่มีขนาดเล็กกว่า โดยมีความยาว เพียง 12 นิ้วครึ่ง นิสัยดี ผสมพันธุ์กันได้ง่าย นกทั้งสองชนิดนี้มีความสามารถฝึกสอนให้พูดได้


.................................................................................................................................
BLOODSTAINED COCKATOO


ชื่ออื่นๆ - Little corella
สายพันธุ์ - เป็นนกแก้วชนิดใหม่ที่เกิดจากการเพาะพันธุ์ในสวนสัตว์ โดยแต่เดิมนั้นเป็นนกพื้น ๆ ที่มีอยู่ทั่วไปใน ออสเตรเลีย เป็นนกที่ชาวไร่ชาวนาในเขตนั้นเกลียด เพราะชอบลงไปกินพืชไร่ของชาวนาชาวสวน
ลักษณะทั่วไป
เป็นนกลำตัวสีขาว
ที่ใบหน้า หัวและคอมีสีชมพูม่วง
บริเวณรอบตามีสีฟ้า
รอบจมูกเหนือจะงอยปากมีสีชมพูและเหลือง
จะงอยสีเทาถึงขาว
หงอนสีขาว
บริเวณปีกและใต้หางมีสีเหลืองเหลือบเรื่อ
ขนาดประมาณ 17 นิ้ว
อุปนิสัย
เป็นนกน่ารัก และฝึกพูดพอใช้ได้
.................................................................................................................................
GANG GANG COCKATOO


ชื่ออื่นๆ - Red-crowned cockatoo, Red-headed cockatoo
สายพันธุ์ - เป็นนกแก้วชนิดใหม่อีกชนิดหนึ่งอีกชนิดหนึ่ง ที่ได้มาจากการเพาะผสมพันธุ์ในสวนธรรมชาติโวเบิน(Woburn) ซึ่งเป็นสวนธรรมชาติของอังกฤษ
ลักษณะทั่วไป
ลำตัวมีสีพื้นเป็นสีเทา ทั้งเทาอ่อนและเทาแก่หลายชนิด
หงอนมีสีแดงแต้มหลั่นกันไป
เหนืออกมีสีแดงสลับขาว
ลักษณะเพศผู้และเพศเมียสังเกตที่หงอน โดยนกเพศเมียหงอนเป็นสีเทา
ขนาดความยาวของนกโดยประมาณ 14 นิ้ว น้ำหนักประมาณ 250 กรัม
อุปนิสัย
เป็นนกที่ร่าเริงแข็งแรง
เป็นมิตรคบกับคนได้ดี
ไม่เหมาะที่จะนำมาเลี้ยงเพื่อฝึกสอนให้พูด เพราะนกพวกนี้ชอบส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวอวดผู้อื่นตลอดเวลา
.................................................................................................................................
LEADBEATER’S COCKATOO


ชื่ออื่นๆ - Major Mitchell cockatoo
ลักษณะทั่วไป
เป็นนกแก้วที่มีลำตัวสีขาวสะอาด และมีผู้นิยมเลี้ยงมากชนิดหนึ่ง
ขนหงอนมีแถบสีเหลืองและแดง
บริเวณคอและใต้ปีก และส่วนใต้ของบริเวณอื่น ๆ มีสีม่วงอมชมพู
ขนาดความยาวของลำตัวประมาณ 14 นิ้ว น้ำหนักประมาณ 350-400 กรัม
ตัวเมียและตัวผู้มีลักษณะเหมือนกันมาก
อุปนิสัย
สามารถฝึกสอนให้พูดได้เก่งและหลายคำกว่าคอคคาทูทุกชนิด
การผสมพันธุ์
Leadbeaters cockatoo จัดเป็นนกที่แข็งแรง สามารถผสมพันธุ์ได้ หากทำรังให้เป็นรูปกล่องลึกและใหญ่ ในที่ซึ่งกว้างขวางปราศจากสิ่งรบกวน
.................................................................................................................................
ROSEATE COCKATOO


ค้นหา : สุนัข แมว สุกร ม้า สัตว์เคี้ยวเอื้อง สัตว์ปีก สัตว์อื่นๆ พันธุ์ : นกคอคคาทู
น.ส. ทักษิณา จารุวัฒนานนท์
COCKATOO จัดอยู่ในหมู่นกแก้ว มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Psittacus novaehollandiae Taxanomy
Kingdom : Animalia
Phylum : Chordata
Sub-phylum : Vertebrata
Class : Aves
Sub-class : Neornithes
Super-order : Neognathae
Order : Psittaciformes
Family : Cacatuidae
Sub-family : Cacatuinae
Genus : ...
Species : ...
Sub-species : (Where applicable)
ถิ่นกำเนิด นกแก้วชนิดนี้อยู่ในออสเตรเลียเพียงแห่งเดียว กล่าวกันว่านกแก้วชนิดนี้บางตัวมีอายุยืนถึง 100ปี เช่นเดียวกับ นกแก้วพันธุ์ใหญ่ๆโดยทั่วไป
ลักษณะทั่วไป
นกแก้วที่เรียกชื่อว่า "คอคคาทู" โดยทั่วไปแล้วถือกันว่าเป็นนกเลี้ยงที่มีรูปร่างสวยงามมาก
ลำตัว จะมีสีขาวหรือสีเทาจนถึงสีเทาเข้ม
ขนศรีษะ ตั้งเป็นยอดสูงเรียงหลั่นกันไปคล้ายหงอน
จงอยปาก มีขนาดใหญ่และมีกำลังมากในการจิกแทะ
อุปนิสัย
นกแก้วชนิดนี้ไม่ชอบอยู่ตัวเดียวอย่างโดดเดี่ยว เป็นมิตรกับคนได้ดีเพราะมีนิสัยชอบคบหาสมาคม
นกแก้วชนิดนี้มีอารมณ์รุนแรง รักใครชอบใครก็ทุ่มเทให้จนสุดหัวจิตหัวใจ คอคคาทูจะมีความสุขมากเมื่อได้อยู่ใกล้เจ้าของ และชอบแสดงตนเป็นเจ้าของและเกิดการหึงหวงโดยไร้เหตุผล ใครมาทำผิดหูผิดตาก็จะแสดงกิริยาออกมาอย่างรุนแรงที่สุด ได้ชื่อว่าเป็น “นกขี้หึง”
นกแก้วคอคคาทู ชอบอาบน้ำ ฉะนั้นผู้เลี้ยงควรอาบน้ำให้นกทุกวัน เพื่อทำให้นกร่าเริงและมีขนสวยงาม
คอคคาทูชอบของเล่นที่มีส่วนประกอบที่เป็นกระดิ่ง โดยเฉพาะนกที่ถูกเลี้ยงตัวเดียว เพราะนกจะรู้สึกว่ากระดิ่งเป็นเพื่อนของมัน เนื่องจากกระดิ่งจะส่งเสียงดังทำให้มันไม่รู้สึกเหงาหรือรู้สึกว่ามันอยู่เพียงลำพพังกระจกก็เป็นของเล่นอีกชิ้นหนึ่งที่คอคคาทูชื่นชอบ เพราะมันจะมองเห็นตัวของมันเอง เปรียบเสมือนว่ามันมีเพื่อนอยู่กับมัน
นกชนิดนี้ร้องเสียงดังและเลียนตามคำได้น้อย จึงไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีความมุ่งหมายในการเลี้ยงนกแก้วเพื่อฝึกให้พูดคุยกระซิบกระซาบ
การแบ่งประเภท Cockatoo
White cockatoo
Sulphur-crested cockatoo
Bloodstained cockatoo
Slender-billed cockatoo
Umbrella-crested cockatoo
Blue eyed cockatoo
Goffin’s cockatoo
Ducorp’s cockatoo
Pink cockatoo
Leadbeater’s cockatoo
Roseate cockatoo
Salmon-crested cockatoo
Black cockatoo
Gang-Gang cockatoo
Palm cockatoo
GREAT SULPHUR-CRESTED COCKATOO

ลักษณะทั่วไป
เกรท ซัลเฟอร์-เครสท์ ลำตัวเป็นสีขาว
บนศรีษะหรือหงอนนั้นมีสีเหลืองคล้ายสีกำมะถัน จึงมีชื่อเรียกตามลักษณะว่า"หงอนเหลือง"
บริเวณใต้คางและปีกก็มีสีเหลืองแต้มเป็นจุด ๆ
ขนาดของลำตัววัดจากจะงอยปาก จนถึง ปลายหางยาวประมาณ 20นิ้ว
อุปนิสัย
เป็นนกที่แข็งแรง กินอาหารเก่ง กล่าวกันว่านกแก้วชนิดนี้มีอายุยืนถึง138ปี
การผสมพันธุ์
การผสมพันธุ์ของนกแก้วชนิดนี้ ต้องปล่อยให้ผสมพันธุ์กันเองตามธรรมชาติอย่างอิสระ ไม่มีอะไร มารบกวน
อีกชนิดหนึ่งซึ่งมีลักษณะเหมือนนกแก้วชนิดนี้มาก คือ เลซเซ่อร์ ซัลเฟอร์-เครสท์ (Lesser-Sulphur-crested) จัดเป็นนกแก้วชนิดหงอนเหลืองเหมือนกันแต่มีขนาดเล็กกว่า โดยมีความยาว เพียง 12 นิ้วครึ่ง นิสัยดี ผสมพันธุ์กันได้ง่าย นกทั้งสองชนิดนี้มีความสามารถฝึกสอนให้พูดได้
BLOODSTAINED COCKATOO

ชื่ออื่นๆ - Little corella
สายพันธุ์ - เป็นนกแก้วชนิดใหม่ที่เกิดจากการเพาะพันธุ์ในสวนสัตว์ โดยแต่เดิมนั้นเป็นนกพื้น ๆ ที่มีอยู่ทั่วไปใน ออสเตรเลีย เป็นนกที่ชาวไร่ชาวนาในเขตนั้นเกลียด เพราะชอบลงไปกินพืชไร่ของชาวนาชาวสวน
ลักษณะทั่วไป
เป็นนกลำตัวสีขาว
ที่ใบหน้า หัวและคอมีสีชมพูม่วง
บริเวณรอบตามีสีฟ้า
รอบจมูกเหนือจะงอยปากมีสีชมพูและเหลือง
จะงอยสีเทาถึงขาว
หงอนสีขาว
บริเวณปีกและใต้หางมีสีเหลืองเหลือบเรื่อ
ขนาดประมาณ 17 นิ้ว
อุปนิสัย
เป็นนกน่ารัก และฝึกพูดพอใช้ได้
GANG GANG COCKATOO

ชื่ออื่นๆ - Red-crowned cockatoo, Red-headed cockatoo
สายพันธุ์ - เป็นนกแก้วชนิดใหม่อีกชนิดหนึ่งอีกชนิดหนึ่ง ที่ได้มาจากการเพาะผสมพันธุ์ในสวนธรรมชาติโวเบิน(Woburn) ซึ่งเป็นสวนธรรมชาติของอังกฤษ
ลักษณะทั่วไป
ลำตัวมีสีพื้นเป็นสีเทา ทั้งเทาอ่อนและเทาแก่หลายชนิด
หงอนมีสีแดงแต้มหลั่นกันไป
เหนืออกมีสีแดงสลับขาว
ลักษณะเพศผู้และเพศเมียสังเกตที่หงอน โดยนกเพศเมียหงอนเป็นสีเทา
ขนาดความยาวของนกโดยประมาณ 14 นิ้ว น้ำหนักประมาณ 250 กรัม
อุปนิสัย
เป็นนกที่ร่าเริงแข็งแรง
เป็นมิตรคบกับคนได้ดี
ไม่เหมาะที่จะนำมาเลี้ยงเพื่อฝึกสอนให้พูด เพราะนกพวกนี้ชอบส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวอวดผู้อื่นตลอดเวลา
LEADBEATER’S COCKATOO

ชื่ออื่นๆ - Major Mitchell cockatoo
ลักษณะทั่วไป
เป็นนกแก้วที่มีลำตัวสีขาวสะอาด และมีผู้นิยมเลี้ยงมากชนิดหนึ่ง
ขนหงอนมีแถบสีเหลืองและแดง
บริเวณคอและใต้ปีก และส่วนใต้ของบริเวณอื่น ๆ มีสีม่วงอมชมพู
ขนาดความยาวของลำตัวประมาณ 14 นิ้ว น้ำหนักประมาณ 350-400 กรัม
ตัวเมียและตัวผู้มีลักษณะเหมือนกันมาก
อุปนิสัย
สามารถฝึกสอนให้พูดได้เก่งและหลายคำกว่าคอคคาทูทุกชนิด
การผสมพันธุ์
Leadbeaters cockatoo จัดเป็นนกที่แข็งแรง สามารถผสมพันธุ์ได้ หากทำรังให้เป็นรูปกล่องลึกและใหญ่ ในที่ซึ่งกว้างขวางปราศจากสิ่งรบกวน
ROSEATE COCKATOO

ชื่ออื่นๆ - Rose-breasted cockatoo , Rose cockatoo , Galah cockatoo
ลักษณะทั่วไป
จัดเป็นนกแก้วคอคคาทู ประเภทที่มีผู้นิยมเลี้ยงกันอย่างกว้างขวางมากกว่าคอคคาทูทุกชนิด ลักษณะโดยทั่วไปสามารถเลี้ยงร่วมกับนกแก้วชนิดอื่นได้ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักเลี้ยงนกแก้วที่เริ่มเลี้ยงใหม่ ๆ
ทั้งตัวผู้และตัวเมียมีขนาดความยาวของลำตัวประมาณ 14 นิ้ว น้ำหนักประมาณ 300-400 กรัม
ตัวผู้
ตอนบนของลำตัวจะมีส่วนที่เป็นสีเทาเหมือนบรอนซ์
บริเวณใต้หัวต่ำลงมาเป็นสีชมพูม่วง
ขนหงอนเป็นสีขาวเรียงเป็นแถวแต่งแต้มด้วยสีชมพูม่วง
นัยน์ตาสีดำสนิทเหมือนสีนิล
ตัวเมีย
ขนบริเวณหงอนจะเป็นสีม่วงออกชมพูเข้ม
นัยน์ตาของนกตัวเมียส่วนหนึ่งเป็นสีน้ำตาลแดง



การผสมพันธุ์
สามารถผสมพันธุ์ได้ง่ายตามธรรมชาติ





SALMON-CRESTED COCKATOO

ชื่ออื่นๆ - Moluccan cockatoo
ลักษณะทั่วไป
เป็นนกแก้วคอคคาทูที่มีลำตัวสีขาว เว้นแต่หงอนเท่านั้นที่เป็นชมพูออกเนื้อปลาสด
ลักษณะการสังเกตว่านกตัวผู้หรือตัวเมียนั้น สังเกตได้จากม่านตารอบนอก
ตัวผู้ : จะเป็นสีดำหรือสีเทาเกือบดำ
ตัวเมีย : จะเป็นสีน้ำตาล
ขนาดความยาวประมาณ 20 นิ้ว
อุปนิสัย
จัดเป็นนกแก้วที่มีนิสัยดี ว่านอนสอนง่าย
มีนิสัยชอบส่งเสียงร้องดังแสบแก้วหู
การผสมพันธุ์
ผสมพันธุ์ได้โดยวิธีกระตุ้นจากนกคู่อื่น





















วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

กล้วย

กล้วย เป็นพรรณไม้ล้มลุกในสกุล Musa มีหลายชนิด เช่น กล้วยน้ำว้า กล้วยน้ำไท กล้วยหอมทอง กล้วยหอมเขียว กล้วยไข่ กล้วยตานี กล้วยหักมุก กล้วยเล็บมือนาง กล้วยนิ้วมือนาง กล้วยส้ม กล้วยนาค กล้วยหิน กล้วยงาช้าง บางชนิดก็ออกหน่อแต่ว่าบางชนิดก็ไม่ออกหน่อ ใบแบนยาวใหญ่ ก้านใบตอนล่างเป็นกาบยาวหุ้มห่อซ้อนกันเป็นลำต้น ออกดอกที่ปลายลำต้นเป็น ปลี และมักยาวเป็นงวง มีลูกเป็นหวี ๆ รวมเรียกว่า เครือ พืชบางชนิดมีลำต้นคล้ายปาล์ม ออกใบเรียงกันเป็นแถวทำนองพัดคลี่ คล้ายใบกล้วย เช่น กล้วยพัด (Ravenala madagascariensis) ทว่าความจริงแล้วเป็นพืชในสกุลอื่น ที่มิใช่ทั้งปาล์มและกล้วย

วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2551

20 ไอเดียง่ายๆ ที่ช่วยคุณ ที่ลดความอ้วนอย่างได้ผล



1. อย่าปล่อยให้ปริมาณอาหารกำหนดการกินของคุณ เพราะปริมาณอาหารไม่ใช่สิ่งที่ร่างกายต้องการ ทุกมื้ออาหารควรทานให้อิ่มพอดีๆ อย่าให้ถึงกับรู้สึกอึดอัด และไม่ต้องเสียดายอาหารที่เหลือในจาน แต่ให้คิดเสียว่าอาหารที่เหลือต่อวัน คือแคลอรีที่คุณสามารถลดได้

2. หาน้ำดื่มทุกครั้งก่อนที่คุณจะหาขนมนมเนยเข้าปาก ถ้าทำได้ วิธีนี้จะช่วยคุณได้มากทีเดียว ทั้งลดความอ้วนและประหยัดค่าขนมไปในตัวด้วย

3. กฎเหล็กของการลดความอ้วน คือ การตัด ABC ออก A หมายถึง Alcohol (แอลกอฮอร์), B หมายถึง Bread (ขนมปัง) และ C carbohydrates (คาร์โบไฮเดรต)

4. ปล่อยให้ตู้เย็นโล่งสะอาดตา โดยหาเพียงสิ่งที่ทานแล้วมีประโยชน์ต่อร่างกาย หรือทานแล้วช่วยให้คุณดูสวยขึ้น เช่น หาผลไม้หรือน้ำผลไม้ประดับตู้เย็นแทนขนมเค๊ก นมพร่องไขมันเนย และน้ำแร่แช่แทนน้ำอัดลม และที่สำคัญ ควรหาภาพนางแบบหุ่นดีๆ ใส่เสื้อผ้าโชว์สัดส่วนโค้งเว้า มาติดตู้เย็นแทนแม่เหล็กที่แถมจากร้านอาหาร

5. ทานอาหารเช้าเป็นประจำ เพราะอาหารเช้าสามารถช่วยให้คุณทานอาหารมื้ออื่นๆ ได้น้อยลง

6. เคยมีผลวิจัยบอกว่า การได้ฟังดนตรีเพลงโปรด (ต้องเพลงช้าๆ นะ) นั้นเปรียบเสมือนได้รับประทานอาหารรสเยี่ยม ทีนี้เมื่อคุณเกิดอาการอยากอาหาร ให้ลองเปลี่ยนมาฟังเพลงเพราะแทน

7. เตือนความจำตัวเองด้วยการนำชุดตัวเก่งที่คุณใส่ได้เมื่อครั้งยังผอม แขวนในตู้เสื้อผ้าที่คุณสามารถเห็นได้ชัดทุกวัน เพื่อเตือนความจำให้คุณอยากกลับมาใส่ชุดนี้อีกครั้ง

8 .เมื่ออยู่ห้องแอร์เย็นๆ ให้หาน้ำขิงหรือชาเขียวดื่มแทน กาแฟ กาแฟหนึ่งถ้วย เปรียบเสมือนทานข้าวไปสองจาน น่าตกใจไหมล่ะ

9. นอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่และเต็มตา เพราะผู้หญิงเรา หากได้นอนหลับเพียงพอ ร่างกายจะสามารถเพิ่มระบบเผาผลาญได้มากขึ้นจากปกติถึง 40% เชียวนะ

10. ก่อนเข้าซุปเปอร์มาเก็ตทุกครั้ง ควรจดรายการที่ต้องการ และซื้อตามรายการที่จด แทนการเลือกซื้อแบบตามใจฉันจะนึกออก ณ ตอนนั้น หากตั้งใจช้อปของไม่มาก แนะนำให้ถือตระกร้าแทนรถเข็น เพราะนอกจากจะช่วยให้คุณได้ออกแรงแล้ว ยังช่วยไม่ให้คุณเลือกซื้อของเกินรายการที่ต้องการอีกด้วย

11. หลีกเลี่ยงการอยู่หรือทำงานในเวลากลางคืน เนื่องจาก แสงของยามค่ำคืนและการนอนดึกจะยิ่งทำให้คุณอยากทานของจุกจิก หรือหิวระหว่างคืนได้ แต่หากคุณต้องการดูหนังในเวลากลางก็สามารถทำได้ด้วยการเปิดไฟดวงน้อย เมื่อหนังจบก็สามารถดับไฟนอนได้เลย

12. เปลี่ยนขนมจุกจิกเป็นลูกอม เพราะลูกอมมีแคลอรีเพียง 20 แคลอรี และสามารถช่วยให้คุณหายหิวได้ถึง 20 นาที

13. เติมความสดชื่นด้วยชาเขียว เพราะชาเขียวสามารถทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีได้มากขึ้น ควรหาชาเขียวมาดื่มร้อนๆ สักสามถ้วยต่อวัน

14. ทำเรื่องกินให้เป็นเรื่องใหญ่ โดยไม่ทานอาหารในขณะที่กำลังทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น ดูทีวี อ่านหนังสือ หรือเล่นอินเทอร์เน็ต หากต้องการกิน ก็ควรนั่งกินบนโต๊ะอาหารอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

15. หาเวลาสัก 20 นาทีต่อวัน สำหรับการเดินเล่น ชมสวน หรือนั่งเล่นท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติ วิธีนอกจากจะได้สูดอากาศบริสุทธิ์แล้ว ยังช่วยเผาผลาญแคลอรีต่อวันได้อีกด้วย

16. ฝึกที่จะใช้บันไดแทนลิฟ หากคุณทำงานหรือเรียนอยู่บนชั้นสูงๆ ให้ขึ้นลิฟไปถึงก่อนชั้นทำงานหรือชั้นเรียนอย่างน้อย 2 ชั้นที่เหลือให้ใช้บันไดแทน

17. ปลดปล่อยอารมณ์ให้สุดเหวี่ยงขณะขับรถ โดยการฟังเพลงแดนซ์เพลงโปรดของคุณ ร้องออกมาดังๆ แล้วขยับร่างกายตามจังหวะเพลง ไม่ต้องไปสนใจใครหรอก โดยเฉพาะหากรถยังแล่นอยู่

18. ยุ่งนัก หาเวลาออกกำลังไม่ได้ ให้หาถุงเท้าสบายๆ แล้วใส่อยู่บ้านแล้วโลดแล่นให้ทั่วพื้นบ้าน จินตนาการว่ากำลังเล่นสเก็ตอยู่ เพียง 10 นาทีก็ช่วยคุณเผาผลาญแคลอรีได้ถึง 150 แคลอรีเชียวนะ

19. หาวีดีโอหรือวีซีดีออกกำลังกายสักหนึ่งชุด แล้วเปลี่ยนห้องของคุณให้กลายเป็นเฮ็ลท์คลับส่วนตัว เปิดแอร์ได้ไม่ว่ากันค่ะ

20. เปลี่ยนนิสัยขี้เกียจ แล้วเริ่มหัดทำงานบ้านเสียบ้าง เพราะทุกสิ่งที่คุณทำล้วนเปรียบเสมือนได้ออกกำลังกายและเผาผลาญแคลอรีในตัว

วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Beauty


Beauty is a characteristic of a person, place, object or idea that provides a perceptual experience of pleasure, meaning or satisfaction. Beauty is studied as part of aesthetics, sociology, social psychology and culture. As a cultural creation, beauty has been extremely commercialized. An "ideal beauty" is a person who is admired, or possesses features widely attributed to beauty in a particular culture. A number of historical individuals have become icons of beauty, including Cleopatra VII, Helen of Troy, and Marilyn Monroe.

The subjective experience of "beauty" often involves the interpretation of some entity as being in balance and harmony with nature, which may lead to feelings of attraction and emotional well-being. "Beauty is in the eye of the beholder" is a common phrase that expresses this concept.[1] In its most profound sense, beauty may engender a salient experience of positive reflection about the meaning of one's own existence. An "object of beauty" is anything that reveals or resonates with personal meaning.
The classical Greek adjective beautiful was καλλός. The Koine Greek word for beautiful was "ὡραῖος", an adjective etymologically coming from the word "ὥρα" meaning hour. In Koine Greek, beauty was thus associated with "being of one's hour". A ripe fruit (of its time) was considered beautiful, whereas a young woman trying to appear older or an older woman trying to appear younger would not be considered beautiful. ὡραῖος in Attic Greek had many meanings, including youthful and ripe old age

วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Farm Chokchai

อยากกินสเต็กวัวอ่า
ป้ายยินดีต้อนรับเข้าสู่ฟาร์มค่ะ
เพื่อนๆของฉัน
ป้อนนมวัวค่ะ ++รักสัตว์++นางงาม
คุณครูก๋านักเรียน
หน้าเหมือนกันไหมเอ่ย??
วิวสวยจังเยย


วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2551

Dent


Une dent est un organe dur, blanchâtre, généralement composé d'une couronne libre et d'une ou plusieurs racines implantées dans la cavité buccale, plus particulièrement dans l'os alvéolaire des os maxillaires (maxillaire et mandibule), et destiné notamment à couper et à broyer les aliments.


Issu du latin dens de même sens, provenant d'une racine indoeuropéenne (reconstruite) °d-, °ed, °denk ou °dent (mordre, mâcher), d'où sont aussi issus, entre autres, les mots odontos (grec ancien) ou tand (néerlandais).


C'est l'organe le plus dur de l'organisme car il est formé d'ivoire. Il résiste longtemps au feu et sert ainsi à l'identification en médecine médico-légale.
Son corps est principalement composé de dentine. Ce tissu est minéralisé à 70% par l'hydroxyapatite. Les 30% restant (dont 12% d'eau) constituent la trame organique, composée essentiellement de collagène. La dentine est perforée de micro-tubes ou tubulis dentinaires. Ceux-ci contiennent les prolongements des cellules dentaires, les odontoblastes. Ces cellules tapissent la périphérie de la cavité pulpaire. Elles synthétisent la dentine tout au long de la vie, de manière centripète, et à un rythme très lent.
Le tissu pulpaire assure leur innervation et leur vascularisation en provenance des racines dentaires. Les odontoblastes synthétisent en réponse à l'agression carieuse une dentine réactionnelle.
La couronne est recouverte d'émail, tissu minéralisé à plus de 97 %. Il est moins épais sur les dents temporaires. La racine est recouverte de cément, où s'enracinent les fibres collagèniques et élastiques du ligament alvéolo-dentaire ou desmodonte.
Ce ligament constitue avec l'os une véritable articulation et renferme des cellules de régénération osseuse, ligamentaire et cémentaire. Il est richement innervé par des récepteurs mécaniques, propriocepteurs, qui renseignent le système nerveux central sur la position exacte des dents et la pression exercée par les muscles masticateurs.
La dent est implantée dans l'os alvéolaire par une à trois racines (parfois plus). Les racines dentaires se terminent par un apex dont l'ouverture de moins de 1 mm permet la vascularisation et l'innervation de la dent (par le nerf mandibulaire).
Les dents sont portées par le maxillaire (mâchoire supérieure) et la mandibule (mâchoire inférieure).

วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2551

Pois


Le pois est une plante annuelle de la famille des Légumineuses (Fabacées), largement cultivée pour ses graines, consommées comme légume, ou utilisées comme aliment du bétail. Le terme désigne aussi la graine elle-même, riche en protéines (25 %). Les pois frais sont plus couramment appelés « petits pois ».
Le nom scientifique est Pisum sativum L. La plante est donc de la famille des Fabacées, de la sous-famille des Faboideae et de la tribu des Fabeae.


Le pois est une plante herbacée annuelle, autogame, de hauteur variable de 50 cm à 1,5 m voire jusqu'à deux mètres. La tige peu ramifiée est creuse, de section cylindrique, et grimpe en s'accrochant aux supports par les vrilles des feuilles.
Les feuilles, alternes, sont composées de plusieurs paires de folioles opposées. Elles sont munies à leur base de deux grandes stipules arrondies à la base, souvent plus grandes que les folioles. Celles-ci sont entières, obovales et en nombre variable de 2 à 8. La foliole terminale est souvent remplacée par une vrille. Parfois certaines paires de folioles de l'extrémité de la feuilles sont également transformées en vrilles. Chez les variétés de type 'afila', toutes les folioles sont remplacées par des vrilles, les fonctions foliaires (photosynthèse) étant alors assurées par les stipules. Inversement chez les variétés de type 'accacia', les vrilles sont transformées en folioles. Les deux premières feuilles primordiales sont réduites à des écailles.
les fleurs sont zygomorphes, du type papilionacé, à ovaire supère. Elles apparaissent à l'aisselle des feuilles, solitaires ou groupées par deux ou trois. Le calice, de couleur verte, est formé de cinq sépales soudés et présente cinq dents régulières. La corolle compte cinq pétales très différenciés, l'étendard redressé en position postérieure, les deux ailes en position latérales, enveloppant la carène, elle-même formée de deux pétales inférieurs, partiellement soudés. La corolle est généralement entièrement blanche, parfois l'étendard et les ailes sont pourpres. L'androcée qui comprend dix étamines, dont une libre et les neuf autres soudées en tube par leur filet, est dit diadelphe. Le gynécée est formé d'un carpelle unique.
Le fruit est une gousse déhiscente bivalve, appelée aussi cosse, contenant des graines rondes lisses ou anguleuses.

วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2551

การทำศัลยกรรมในส่วนต่างๆของร่างกาย

ความสวยงามสำหรับผู้หญิงแล้ว เชื่อแน่ว่าร้อยทั้งร้อยของหญิงทุกคน ให้ความสำคัญอย่างมากกับเรื่องพวกนี้ เห็นได้ในสุภาษิตที่ว่า ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง นั่นเอง ดังนั้นวันนี้ หากใครที่คิดอยากจะทำศัลยกรรมในส่วนต่างๆ ของร่างกาย ลองอ่านกันดูว่า ถึงเวลารึยังที่เราจะทำการศัลยกรรมอวัยวะนั้นๆ
++หน้าผาก++
สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสมในการทำศัลยกรรมด้วยวิธีที่เรียกกันว่า โบท๊อก นั่นก็คือ อายุ 35 ปีขึ้นไป ในการทำศัลยกรรมหน้าผากนี้เพราะรอยเหี่ยวย่นที่อยู่บริเวณหน้าผากนั้นจะไม่พัฒนาเป็นริ้วรอยที่ถาวร จนกระทั่งอายุประมาณช่วง 30 ปีปลายๆ - 40 ปีต้นๆ แต่ถึงอย่างไก็ตามผู้เชี่ยวชาญไม่เสนอว่า การศัลยกรรมด้วยวิธีโบท๊อกนั้นจะเป็นวิธีที่ง่ายในการทำ แต่ วิธีนี้เป็นวิธีหนึ่งที่ดีที่สุดในการลบริ้วรอยดังกล่าวที่เกิดขึ้นได้
++มือ++
โดยส่วนมากบุคคลทั่วไปจะใช้เทคโนโลยีกระแสไฟฟ้า หรือเลเซอร์ ในการลบรอยบรรดาจุดด่างดำบนมือ ซึ่งจุดด่างดำบนมือนั้นเมื่อทำการฉายรังสี เพียง 1 ครั้งก็สามารถที่จะทำให้จุดต่างๆ นั้นลดลงได้ถึง 50% หากจะให้ได้ผลถึง 80% นั้น ต้องเข้ารับการบำบัด ถึง 3-4 ครั้ง ช่วงอายุที่เหมาะสมในการทำศัลยกรรมอวัยวะนี้ว่า ช่วงที่เหมาะสมก็คืออายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป และไม่มีใครที่แก่เกินไปในการลบจุดด่างดำบนมือได้
++ตา++
ถือว่าเป็นอวัยวะหนึ่งที่มีความนิยมในการทำศัลยกรรม ซึ่งส่วนมากแล้วจะทำลบรอบย่นรอบดวงตา ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สมควรทำนั่นก็คือ อายุ 45 ปี นอกจากนี้แล้วสิ่งที่นิยมทำอีกอย่างหนึ่งก็คือ การผ่าตัดถุงใต้ตา โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะทำวิธีนี้ก็คือ อายุ 19 ปีขึ้นไป
++ผิวหน้า++
ผู้หญิงส่วนมากนั้นจะมาทำการรักษาผิวหน้า โดยการดึงหน้าให้เรียบเนียนในช่วงอายุ 50-60 ปี แต่จริงๆ แล้ว ในช่วงที่อายุ 40-50 ปีนั้น ผิวหน้านั้นก็ยังมีความยืดหยุ่นที่ดี และจากเหตุผลดังกล่าวนั้นสามารถสรุปได้ว่า ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการดึงผิวหน้าให้เรียบนั้นก็คือ ช่วงอายุ 45 ปี
++สะโพกและต้นขา++
กรรมวิธีที่ใช้ในการทำให้อวัยวะเหล่านี้กระชับขึ้น คือ โพลิแซกชั่น(liposaction) ซึ่งจากความเห็นของ นายคาร์ลิดิช ศัลยแพทย์ ได้ให้ความเห็นว่า ส่วนมากคนไข้ที่มาทำการรักษาด้วยวิธีการโพลิแซกชั่นนั้น มักไม่เห็นอายุต่ำกว่า 30 ปี เท่าใดนั้น แต่หากจะว่าไปแล้ว การออกกำลังกายควบคุมอาหารเป็นสิ่งที่ดีในการทำให้สะโพกและต้นขามีความกระชับได้ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องทำโพลิแซกชั่น ให้ยุ่งยากเลย
++จมูก++
กรรมวิธีในการทำจมูกให้มีสันสวยงามนั้นก็คือ วิธี ไรโนพลาสตี้ (rhinoplasty) โดยช่วงอายุที่เหมาะสมนั้นคือ 20 ปีขึ้นไป ในเรื่องการทำจมูกนี้ แจน สเตนเนส ศัลยแพทย์ได้ออกมาให้ความคิดเห็นว่า การทำจมูกนั้นหากว่าอายุน้อยๆ จะทำได้ดีกว่าอายุมาก
++ริมฝีปาก++
การทำริมฝีปากนั้น ส่วนมากผู้ที่เข้ารับการรักษาจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท 1. ต้องการให้รูปปากดูอวบอิ่มอย่าง แองเจลีนน่า โจลี แต่สำหรับคนที่อายุมากแล้วจะต้องการทำให้ริมฝีปากนั้นมีความบาง ซึ่งในกลุ่มสุดท้ายที่ว่ามานี้เป็นจำนวนเกือบทั้งหมดของกลุ่มคนไข้ โดยช่วงอายุที่เหมาะสมในการทำริมฝีปากให้บางนั้น คือช่วงอายุ 37 ปีขึ้นไป
++หน้าอก++
คนไข้ที่มีช่วงอายุตั้งแต่ 25-28 ปี นั้นจะเข้ารับการเสริมหน้าอก แต่หากว่าเป็นเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ไปแล้วจะไม่ให้เสริมหน้าอก เนื่องจากว่า หน้าอกนั้นยังมีการพัฒนาอย่างไม่เต็มที่ และยังไม่หยุดการเจริญเติบโต ส่วนการยกหน้าอกไม่ให้หย่อนยานนั้น ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการทำนั่นก็คือช่วงอายุ 45 ปี
++ หน้าท้อง++
ศัลยแพทย์ได้ออกมาให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า หากว่าคุณยังไม่หยุดมีลูกก็ยังไม่แนะนำให้ทำหน้าท้องเรียบเนียน เพราะการตั้งครรภ์จะทำให้ผิวหน้าท้องนั้นมีร่องรอยเหี่ยวย่นขึ้นมาได้ สำหรับช่วงอายุที่เหมาะสมในการทำหน้าท้องให้เรียบคือ ช่วงอายุ 35 ปีขึ้นไป

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2551

Mollusca


Les mollusques (du latin mollis, mou) sont un embranchement du règne animal. Les mollusques sont des animaux non segmentés (invertébrés), à symétrie bilatérale quelquefois altérée. Leur corps se compose généralement d'une tête, d'une masse viscérale, et d'un pied. La masse viscérale est recouverte en tout ou partie par un manteau, qui sécrète une coquille calcaire. Le système nerveux comprend un double collier périœsophagien. La cavité générale est plus ou moins réduite au péricarde et aux néphridies.
Dans la classification phylogénétique, les mollusques sont des métazoaires triploblastiques cœlomates (les termes "cœlomate", "acœlomate" et "pseudocœlomate" ont récemment été retirés de la classification) bilatériens protostomiens.
L'embranchement contient plus de 130 000 espèces dont certaines sont très fréquemment consommées par l'Homme.
Certains mollusques peuvent secréter des perles en recouvrant de nacre les éléments irritants qui s'introduisent dans leur coquille.

วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2551

Instituteur



Un instituteur est, dans beaucoup de pays, une personne en charge d'enseigner dans les écoles auprès des jeunes enfants, notamment à l'école maternelle et l'école primaire.
L'appellation traditionnelle pour les petites classes est « maître d'école ».


Instituteur est un corps de la fonction publique française, qualifiant des enseignants ayant pour mission de travailler avec les enfants scolarisés à l'école primaire, que ce soit à l'école maternelle ou l'école élémentaire. Le corps des instituteurs a été créé par la loi du 12 décembre 1792. Pour la formation des instituteurs ont été créées des écoles normales primaires dont la création évoquée dès 1794, devient effective à partir de 1810 (Strasbourg) puis obligatoire pour les instituteurs selon la loi Guizot du 28 juin 1833.
Le 19 juillet 1889, les instituteurs deviennent des fonctionnaires d'État.
Ce corps, de catégorie B, est progressivement remplacé par les professeurs des écoles, de catégorie A celui-là, depuis 1989.



ครู คือบุคคลที่มีหน้าที่ หรือมีอาชีพในการสอนนักเรียน เกี่ยวกับวิชาความรู้ หลักการคิดการอ่าน รวมถึงการปฏิบัติและแนวทางในการทำงาน โดยวิธีในการสอนจะแตกต่างกันออกไปโดยคำนึงถึงพื้นฐานความรู้ ความสามารถ และเป้าหมายของนักเรียนแต่ละคน
คำว่า "ครู" มาจากศัพท์ภาษาสันสกฤต "คุรุ" และภาษาบาลี "ครุ, คุรุ"



ความหมายของครู T E A C H E R S
T = Teaching สอน
E = Ethic ปูชนียบุคคล
A = Academic ถ่ายทอด
C = Cultre heritage วัฒนธรรม
H = Human Relationship มนุษยสัมพันธ์
E = Evaluation การวัด ประเมินผลl
R = Research วิจัย
S = Service บริการ

Calmar



Les calmars (ou cornets - 1762) sont un ensemble d'espèces de céphalopodes décapodes marins apparentées à la seiche. Certaines de ces espèces sont comestibles (notamment Loligo vulgaris, la plus consommée par l'homme) et aussi appelées selon les régions encornet, chipiron (Pays basque) ou supion dans le Midi. Souvent ces appellations gastronomiques locales ne distinguent pas les seiches des calmars.

Requin



Les requins (ʁəkɛ̃ ) sont des poissons cartilagineux présents dans tous les océans du globe.
Ils forment un groupe paraphylétique d'espèces. C'est donc avant tout à partir de caractéristiques morphologiques que le nom de requin est attribué à une espèce.
Il existe 465[1] espèces de requin regroupés en 35 familles appartenant toutes à la classe des chondrichthyens qui comporte, en outre, les raies, les poissons-scies, les poissons-guitares et les chimères.
Certains auteurs reconnaissent le taxon des Selachimorpha qui regroupe exclusivement les requins, pour les différencier des raies au sein des Euselachii, mais cette séparation n'est pas valable d'un point de vue phylogénétique.
Les premiers requins sont apparus au dévonien, il y a environ 430 Ma[2]. À partir du crétacé, il y a 100 Ma, beaucoup d'espèces de requins ont adopté leur forme moderne ; ils n'ont guère évolué depuis.
La plupart des requins sont des prédateurs, voire des superprédateurs pour certains, mais les plus grandes espèces, comme le requin baleine (Rhincodon typus) ou le requin pèlerin (Cetorhinus maximus), ne se nourrissent principalement que de plancton en filtrant l'eau de mer. Seulement, une douzaine sont considérées comme dangereuses pour l'homme. De nombreuses espèces sont menacées de disparition

วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ThE BiRd Of LovE


นกเงือก เป็นนกขนาดใหญ่ ส่วนมากมักจะมีขนสีดำสลับขาว ทั่วโลกมี 55 ชนิด [1] มีการแพร่กระจายอยู่ในแถบเขตร้อน ของทวีปอัฟริกา และเอเชียนกเงือกเป็นนกผัวเดียวเมียเดียว มีลักษณะการทำรังที่แปลกจากนกอื่น คือ เมื่อถึงฤดูกาลทำรัง นกคู่ผัวเมียจะพากันหารัง ซึ่งได้แก่ โพรงไม้ตามต้นไม้ใหญ่ เช่น ต้นยาง ที่อยู่ในที่ลับตา เมื่อตัวเมียเข้าไปอยู่ในโพรง จะทำความสะอาดแล้วเริ่มปิดปากโพรง ด้วยวัสดุต่าง ๆ เช่น ดิน เปลือกไม้ ตัวเมียจะขัง ตัวอยู่ภายในเพื่อออกไข่เลี้ยงลูก
ประเทศไทยมีนกเงือก 13 ชนิด ซึ่งในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ซึ่งมีอาณาเขตส่วนหนึ่งอยู่ใน จังหวัดนครราชสีมา มี 4 ชนิด ได้แก่ นกกก หรือ นกกะวะหรือ นกกาฮัง นกเงือกสีน้ำตาล นกเงือกกรามช้าง หรือ นกกู่กี๋ และ นกแก๊ก หรือนกแกง และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลา พบ 9 ใน 12 ชนิดของนกเงือกที่พบในไทย ได้แก่ นกเงืกปากย่น นกเงือกชนหิน นกแก๊ก นกกก นกเงือกหัวหงอก นกเงือกปากดำ นกเงือกหัวแรด นกเงือกดำ นกเงือกกรามช้าง
นกเงือก หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า "Hornbill" มีอยู่ด้วยกันถึง 54 ชนิดในโลก พบได้ในป่าเขตร้อน ของทวีป อาฟริกา และ เอเซีย เท่านั้น ในประเทศไทยมีอยู่ถึง 12 ชนิด นกเงือกมีหน้าตาออกจะโบราณสักหน่อย ไม่มีสีสันสวยงามนัก สีขนมักมีสีดำ - ขาว ที่แปลกออกไปบ้าง คือสีน้ำตาล เทา มีขนาดใหญ่ถึงใหญ่มาก บางชนิดอาจมีขนาดตัวถึง 1.5 เมตร ความกว้างของปีกที่กางออกอาจถึง 2 เมตร เช่น นกกก แต่มีลักษณะที่น่าขัน คือ มันมีปากใหญ่ผิดสัดส่วนกับหัว แถมมี "โหนก" เหนือปาก ทำให้ดูเกะกะลูกตา และทำให้ดูเหมือนว่า เจ้านกเงือกจะต้องคอนโหนกที่ดูหนักอึ้งเกินความจำเป็น
ลักษณะของโหนก หรือ Casque ที่ว่านี้ ลวงตาดูว่าหนัก ที่จริงโหนกเป็นโพรง ยกเว้นโหนกของนกชนหิน Helmeted Hornbill ที่ตันดุจเดียวกับงาช้าง เจ้าโหนกของนกเงือกนี้ จะช่วยเราจำแนกชนิดของนกเงือกได้โดยง่าย เพราะจะมี ความ แตกต่างกันออกไป บ้างก็มีขนาดใหญ่ แบนกว้าง เช่น โหนกของนกกก บ้างก็มีรูปทรงกระบอก ทอดนอนตามความยาว ของจะงอยปาก ดูคล้ายกล้วยหอม แต่มีปลายงอนขึ้น เช่น โหนกของนกเงือกหัวแรด บ้างก็มีโหนกขนาดเล็ก เป็นหยัก เป็น ลอน ดูคล้ายกรามช้าง เช่น นกเงือกกรามช้าง ที่ไม่มีโหนกก็มี เช่น นกเงือกคอแดง
นกเงือก จะมีส่วนหนังเปลือยเป็นสีฉูดฉาดอยู่บ้าง เช่น หนังบริเวณ คอ ขอบตา เป็นต้น มีขนตายาวงาม ขาสั้น ชอบกระโดด ลิ้นสั้น จึง กินอาหารโดยการจัดอาหารอยู่ที่ส่วน ปลายปาก แล้ว โยนกลับลงคอไป ปรกติ นกเงือกจัดได้ว่า กินอาหาร ทั้งผลไม้ และ สัตว์เล็กๆ แต่ผลไม้พวก " ไทร" ดูจะเป็นอาหารหลักของนกเงือกเอเซีย
นอกจากร้องเสียงดังแล้ว นกเงือกเป็นนกที่บินเสียงดังมาก โดยเฉพาะนกเงือกขนาดใหญ่ เสียงดังนี้ เกิดจากการที่ อากาศผ่านช่องว่าง ระหว่างโคนขนปีก เนื่องจากนกเงือก ไม่มีขนคลุมด้านใต้ของปีก เมื่อกระพือปีกแต่ละครั้ง จึงเกิดเสียงดัง ราวกับรถจักรไอน้ำ และหากนกเงือกขนาดใหญ่บินมาเป็นฝูง จะทำให้เกิดเสียงดังราวพายุ
อุปนิสัยในการทำรังของนกเงือก เป็นลักษณะเด่น เฉพาะตัวของนกในวงศ์นี้ (Bucerotidae) คือ ทำรังในโพรงไม้ แต่มันจะไม่สามารถเจาะรังได้เอง อย่าง นกหัวขวาน ต้องเสาะหา โพรงที่มีอยู่โดยธรรมชาติ หรือ ที่มีสัตว์อื่น ทำให้เกิดขึ้น ที่แปลกคือไม่เพียงแต่ เข้าไปอยู่ในโพรง นกเงือกตัวเมีย ยังปิดปากโพรงเสียด้วย วัสดุต่างๆ อันได้แก่ มูลของมันเอง เศษไม้ ดิน เป็นต้น ผสมกัน พอก ปากโพรง ให้เล็กลงจนเหลือเพียงช่องแคบๆ เพียงพอที่พ่อนก จะ ส่งอาหารผ่านด้วยจะงอยปาก นกเงือกตัวเมีย จะออกไข่ ฟักไข่ และ เลี้ยงลูก อยู่ภายในโพรง จนกว่าลูกนกจะโตพอ ที่จะบินได้ จึงจะกะเทาะปากโพรง ออกมา ซึ่งกินเวลาประมาณ 3 - 4 เดือน
ชีวิตรักของนกเงือก เริ่มต้น ราวกลางเดือน มกราคม และ กุมภาพันธ์ เราจะเห็นนกเงือกอยู่กันเป็นคู่ ส่วนใหญ่แล้ว ตัวผู้ จะเสาะหารัง ตัวเมีย จะคอยติดตามไปดูด้วย และ ตัดสินใจว่าพอใจโพรงนี้หรือเปล่า เพราะตนจะต้อง อยู่ในโพรงนี้อีกหลายเดือน
โพรงรังของนกเงือก ซึ่งศึกษาที่เขาใหญ่ จะพบในต้นไม้ ตระกูล ยาง มากที่สุด โดยขนาดของต้นไม้ ที่มีโพรงใหญ่พอ หากวัดที่ระดับความสูง ของ หน้าอกคนวัด เส้นผ่าศูนย์กลาง ตกราวๆ 1 เมตร ปากโพรงจะต้องไม่ใหญ่ หรือ เล็ก เกินไป ขนาดพอดีๆ ก็ตกราว 20 x 12 เซนติเมตร ความสูงของเพดานรังกว่า 1 เมตร ขึ้นไป พื้นโพรงรัง ต้องไม่ลึก ต่ำกว่า ขอบประตูล่างมากนัก ความกว้างภายในโพรง ใหญ่พอดีก็ประมาณ 50 x 40 ซ.ม.โดยปรกติ นกเงือก จะใช้โพรงปีแล้วปีเล่า หาก โพรงนั้นยังเหมาะสมอยู่ ตัวผู้ จะเชิญชวนตัวเมีย ให้เข้าไป ดูรัง ด้วยการโผบินไปเกาะปากโพรง แล้วยื่นหัวเข้าไปสำรวจ ภายใน บินเข้าออกหลายครั้ง ขณะเดียวกันก็เกี้ยว พาราสีกันด้วย ตัวผู้จะกระแซะเข้าใกล้ตัวเมีย และ พยายามป้อนอาหาร ซึ่งได้แก่ผลไม้ให้ตัวเมีย บางคู่ อาจใช้เวลานาน หลายวัน กว่าตัวเมีย จะสนใจ และยอมบินเข้ามาดูรัง เมื่อคิดว่า ได้โพรงที่เหมาะสม เป็นที่ถูกใจแล้ว ตัวเมียจะเริ่มงานทันที ถ้าปากโพรงแคบไป เนื่องจากการ เจริญเติบโตของต้นไม้ นกจะเจาะปากโพรงให้กว้างอีกเล็กน้อย กะเทาะวัสดุปิดรังเก่าๆออก แล้วจะมุดเข้าไปในโพรง จากนั้น ตัวเมียจะทำความสะอาดภายในโพรง โดยการคาบเศษเมล็ดผลไม้เก่าๆ เศษขนของปีก่อนโยนทิ้ง แล้วเริ่มปิดปากโพรงเสียใหม่วัสดุที่หาได้ จะถูกผสมกับมูลของตัวเมีย รวมทั้งอาหารที่สำรอกออกมา แล้ว พอกลงบนปากโพรง ที่เปรียบเหมือนประตู โดยใช้จะงอยปากด้านข้างตีให้ติดกัน เมื่อวัสดุนี้แห้ง จะแข็ง และ เหนียวมาก ตัวผู้อาจช่วยหาวัสดุ เช่น ดิน หรือ เปลือกไม้มาให้ แล้วแต่ชนิดของนกเงือกว่า ขอบประตูที่ทำด้วยวัสดุอะไร เช่น นกกกใช้ เปลือกไม้ เศษไม้ผุๆ เศษอาหาร แต่ไม่ใช้ดินเลย ตรงข้ามกับนกแก๊ก จะใช้ดินเป็นส่วนใหญ นอกจากนี้ ตัวผู้ จะคอยเฝ้าเป็นเพื่อนอยู่ข้างนอก เกือบตลอดเวลา และ คอยป้อนอาหาร หลังจากตัวเมีย เสร็จงานปิดโพรงในแต่ละวัน บางคู่จะส่งเสียงเบาๆ ราวกับ ปลอบประโลมให้ตัวเมียอุ่นใจ และ เมื่อตัวผู้แวบหายไป ชั่วครู่ ชั่วยาม ตัวเมียจะละงานปิดโพรงตามไปทันที ตัวผู้จะต้องพากลับมาที่โพรงอีก จะใช้เวลาปิดปากโพรงอยู่ราว 3 - 7 วัน
เมื่อตัวเมีย ขังตัวเองอยู่ภายในโพรงเรียบร้อยแล้ว ตัวผู้จะทำหน้าที่ดูแลอย่างเคร่งครัด น่ายกย่อง สรรเสริญ เป็นอย่างยิ่ง นับเป็นเยี่ยงอย่างที่ดี ในระยะแรกๆ ของการทำรัง คือช่วง ตัวเมียฟักไข่ การป้อนอาหารจะไม่บ่อยนัก ราววันละ 2 - 3 ครั้ง อาหารส่วนใหญ่จะเป็นพวกผลไม้ ระยะนี้ตัวผู้พอมีเวลาให้ตัวเองบ้าง ก็จะแต่งตัวให้หล่ออยู่เสมอ ส่วนตัวเมีย ก็จะถือ โอกาส นี้ ผลัดขนเสียใหม่
เมื่อเวลาผ่านไปราว 5 - 7 สัปดาห์ ลูกนกจะฟักออกเป็นตัว ตัวผู้ต้องรับภาระหนักมาก พ่อนก จะเริ่ม หน้าที่ของตนตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้น จน หลังพระอาทิตย์ตก การป้อนอาหารจะถี่ขึ้นเรื่อยๆ วันละ 10 ครั้ง หรือกว่านั้น ชนิดอาหารที่นำมาป้อน จะมีความหลากหลายมากขึ้น มีผลไม้ป่าอื่นๆ นอกจากไทร เช่น ส้มโมง สุรามะริด กำลังเลือดม้า ตาเสือเล็ก ตาเสือใหญ่ หว้า มะหาด ขี้ตุ่น ยางโดน มะเกิ้ม พิพวนป่า มะขามแป พญาไม้ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังต้องหาอาหารเสริมโปรตีนมาเลี้ยงลูก เช่น แมลงนานาชนิด สัตว์เลื้อยคลาน เช่น งู กิ้งก่า ปลา ปู กบ เขียด กิ้งกือ ไส้เดือน นก ไข่และลูกนก หนู กระรอก ค้างคาว เป็นต้น
การหาอาหาร ต้องไปตามแหล่งผลไม้สุก สำรวจตามโพรงไม้ เพื่อหาสัตว์ที่อาศัยอยู่ในโพรง เช่น กระรอกบิน หากจับได้ ก็จะนำมาเป็นอาหารให้ลูกนก อาจกะเทาะเปลือกไม้เพื่อหาตัวหนอน โบยบินเพื่อจับแมลงในอากาศ ลงพื้นดิน และริมน้ำ เพื่อจับปลา ปู หาไส้เดือน งูดิน เป็นต้น ต้องใช้กำลังงานไปมาก ช่วงนี้ จะดูพ่อนกโทรมมาก
นกเงือกเป็นนกที่สะอาดสะอ้าน ทั้งแม่และลูกนก จะถ่ายมูลผ่านช่องแคบๆ นี้ ลูกนก จะไม่สามารถ ถ่ายมูลให้พุ่งพ้นปากโพรง จึงตกอยู่แค่ปากโพรง เมื่อพ่อนก ป้อนอาหาร เสร็จ ในแต่ละครั้ง จะคาบเอามูลของลูกมันทิ้ง จาก พฤติกรรมนี้ เราสามารถ จะทำนายได้ว่า รังใดมีลูกนกฟักเป็นตัวแล้ว อาหารที่เป็นผลไม้ที่มีเมล็ดในแข็ง นกเงือก จะสำรอก ทิ้งออกมา ภายนอกโพรง เราจึงพบว่า ที่โคนต้นไม้ ที่เป็นรังนก จะเต็มไปด้วยมูลนก และ เมล็ดผลไม้นานาชนิด ซึ่งจะงอก เป็น ต้นกล้า เต็มไปหมด
การเลี้ยงลูกนกเงือก พ่อนกจะส่งอาหารผ่านแม่นก แม่นก จะมีส่วนในการกำหนดเมนู สำหรับ ลูกนก บางคราว พ่อนกนำผลไม้บางชนิดมาป้อนซ้ำๆ แม่นก จะปฎิเสธ ไม่ยอมรับ ถ้าพ่อนกยังตื๊อที่จะป้อนต่อไป แม่นกจะรับมา แล้ว โยนทิ้งไปต่อหน้าต่อตา ก็เป็นสัญญาณเตือนพ่อนกว่า จะต้องเปลี่ยนอาหารแล้ว มิฉะนั้นจะเหนื่อยเปล่า เพราะแม่เจ้าประคุณ โยนทิ้งอย่างไร้เยื่อใย ทั้งๆที่พ่อนกนั้น เวลาป้อนอาหาร แต่ละที ก็แสนจะอ่อนโยน พ่อนกจะสำรอกอาหารออกมาคราวหนึ่ง แล้วบรรจงป้อนให้แม่นก ชนิดปากต่อปาก จนกว่าแม่นกจะรับไป จะไม่มีการสำรอกไว้ในโพรงแล้วปล่อยให้เก็บกินเอง และ ไม่มีการผิดพลาด โดยป้อนผลไม้ที่ตัวเองกินเนื้อแล้วเป็นอันขาด หากเป็นอาหาร ประเภทสัตว์ ก็จะฆ่าให้ตายก่อน โดยฟาดกับ กิ่งไม้ หรือ กัดย้ำ ด้วยจะงอยปาก แล้วจึงป้อน
เมื่อเวลาล่วงเข้าประมาณสัปดาห์ที่ 10 ถึง 15 พ่อนกจะเริ่มลดอาหารลง ก็แสดงว่าใกล้เวลาอันสมควร ที่ลูกนกและแม่นกจะออกจากโพรงเสียที เมื่อออกจากโพรงแล้ว ลูกนกจะบินได้เกือบทันที เพราะซ้อมกระพือปีกไว้บ้างแล้ว ขณะอยู่ในโพรง พ่อแม่นกจะคอยดูแล โดยป้อนอาหาร และ สอนร่อนไปในหมู่ไม้ให้ลูกนกอีกราว 5 - 6 เดือน หรือจนกว่า ฤดูทำรังใหม่จะใกล้เข้ามา ก็เป็นอันว่าลูกนกบรรลุนิติภาวะ ที่จะหากิน ดูแลตัวเองได้
นกเงือก จัดว่ามีศัตรูน้อย แต่ที่สำคัญเห็นจะเป็น "หมาไม้" ซึ่งไต่ไปถึงรัง หากพบว่าปากโพรงเปิดอยู่ เนื่องจาก แม่นกออกมาก่อน ลูกนกจะตกเป็นเหยื่อของหมาไม้ได้ง่าย "อีกา" ก็เป็นศัตรูที่สำคัญอีกตัวหนึ่ง ที่มักคอยจิกตีลูกนก ที่เพิ่งออกจากโพรง
เมื่อเข้าฤดูฝน ก็หมดช่วงทำรัง นกเงือก มักรวมกันเป็นฝูงใหญ่บ้างเล็กบ้าง แล้วแต่ชนิดนกเงือก นกเงือกกรามช้าง ดูจะรวมฝูงกันมากที่สุด บางคราวอาจรวมกันมากถึง 1,000 ตัว ไปหากินและนอนตามหุบเขาลึก
ด้วยลักษณะการดำรงชีวิตดังกล่าวมาแล้ว นกเงือกจึงมีบทบาทที่สำคัญ ในระบบนิเวศของป่าดิบ นั่นคือช่วยกระจาย พันธุ์พืช โดยการสำรอกเมล็ดผลไม้ทิ้ง หรือ ถ่ายเมล็ดออกมา ชีวิตของนกเงือก ต้องขึ้นอยู่กับป่าที่สมบูรณ์ มีต้นไม้ใหญ่ที่มี โพรงให้ทำรัง มีแหล่งอาหารที่เพียงพอ จึงอาจใช้เป็นตัวบ่งชี้ความอุดมสมบูรณ์ของป่าได้
เนื่องจากสถานะการณ์ของป่าไม้บ้านเรา ลดน้อยลงไปทุกปี ประกอบกับการที่นกถูกล่า เพื่อนำมาเลี้ยง หรือ นำมาใช้ทำเครื่องประดับ ทำให้โอกาสที่นกเงือกจะสืบทอดพันธุ์ต่อไปให้คนรุ่นหลังๆ ได้ชื่นชม เห็นทีจะเลือนราง ถ้าทุกฝ่าย รวมทั้งพวกเรายังหลงฟุ้งเฟ้อกับการพัฒนาประเทศ โดยปราศจากการวางแผนที่รอบคอบ จริงจัง และ โปร่งใส มรดกไทย ที่ธรรมชาติได้สั่งสมมาช้านาน ไม่จำเพาะแต่นกเงือกเท่านั้น คงถึงกาลอวสานเป็นแน่แท้
โครงการอุปการะครอบครัวนกเงือก
ความเป็นมา โครงการศึกษานิเวศวิทยาของนกเงือก ได้ทำการศึกษาวิจัยชีววิทยา และ นิเวศวิทยาของนกเงือกมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521 จนถึงปัจจุบัน และ ได้ขยายขอบเขตพื้นที่ป่าตะวันตก และ ภาคใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการศึกษาวิจัยฯ ทางภาคใต้ ในพื้นที่ จังหวัดปัตตานี นราธิวาส และ ยะลา
ทางโครงการฯ ได้รับความร่วมมือ ในการศึกษาวิจัย จากชาวบ้าน ในบริเวณนั้นเกือบทั้งหมด ซึ่งแต่เดิม ชาวบ้าน ที่มีรายได้ต่ำ ( 1,500 - 3,000 บาท ต่อเดือน ) ก็จะหารายได้เสริม จากการจับลูกนกเงือกจากรัง ไปขาย และหา ของป่า ฯลฯ จนกระทั่ง โครงการเข้าไปทำการศึกษาวิจัย โดยให้ชาวบ้านเข้ามาร่วมงาน ในการเก็บข้อมูลทางวิชาการ และ เพื่อ ปลูกฝัง ให้ชาวบ้าน เลิกนำลูกนกเงือกไปขาย หันมาช่วยกันอนุรักษ์นกเงือก จนกระทั่งปัจจุบัน ทางโครงการฯมีจำนวนรังนก ที่ต้องดูแล และ เก็บข้อมูลทางวิชาการดังนี้
นกกก 41 รัง
นกเงือกกรามช้าง 5 รัง
นกเงือกหัวแรด 19 รัง
นกชนหิน 9 รัง
นกเงือกปากดำ 8 รัง
นกเงือกหัวหงอก 2 รัง
นกเงือกปากย่น 1 รัง
จำนวนทั้งสิ้น 84 รัง
หมายเหตุ
นกเงือกลำดับที่ 3 - 7 เป็นชนิดที่อยู่ในสภาวะเสี่ยงต่อการใกล้สูญพันธุ์
เพื่อเป็นการอนุรักษ์นกเงือก ให้คงอยู่สืบไป และ สอดคล้องกับความต้องการของชาวบ้าน โดยให้คนเมือง ที่ห่างไกลจากธรรมชาติ ได้มีความรู้สึกหวงแหนร่วมกัน และ มีความต้องการ ช่วยเหลือ และ อนุรักษ์นกเงือกให้อยู่สืบไป ชั่วลูกชั่วหลาน
วัตถุประสงค์
เพื่อเป็นการสนับสนุนชาวบ้าน ในบริเวณนั้น ให้ มีกำลังใจ ที่จะอนุรักษ์นกเงือก ต่อไป
เพื่อศึกษาชีววิทยา และ นิเวศวิทยา ของนกเงือก ที่ใกล้จะสูญพันธุ์
เพื่อให้ชาวบ้านเก็บข้อมูลทางชีววิทยา และ นิเวศวิทยา ของนกเงือก เพื่อเป็นข้อมูลทางวิชาการ และ เป็นการเฝ้าระวังสถานะภาพของ ประชากรนกเงือก ในพื้นที่นั้นๆ ในระยะยาว
วิธีการ ให้ผู้ที่สนใจอุปการะครอบครัวนกเงือกในแต่ละชนิด ซึ่งจะมีชาวบ้านเป็นผู้ดูแล และ เก็บข้อมูลนั้น สมทบทุนเพื่อเป็น ค่าใช้จ่าย ให้กับชาวบ้าน ที่ดูแลนกเงือกและเก็บข้อมูลร่วมกับโครงการศึกษานิเวศวิทยา ของ นกเงือกทางภาคใต้
สิ่งที่ผู้อุปการะครอบครัวนกเงือกจะได้รับ
รายงานต่างๆ เกี่ยวกับนกเงือกที่ท่านอุปการะ ซึ่งประกอบด้วย
1.1 สถานภาพของนกเงือกที่ท่านอุปการะ
1.2 รายละเอียดเกี่ยวกับตัวนกเงือกชนิดนั้น
1.3 สถานที่ที่นกเงือกทำรัง
1.4 ชนิดของต้นไม้ที่นกทำรัง และ ลักษณะของต้นไม้ที่เป็นต้นรัง พร้อม รูปประกอบ
2. ถ้าท่านผู้ที่อุปการะครอบครัวของนกเงือก มีความประสงค์ที่จะ ไปเยี่ยมชมนกเงือก ที่ท่านอุปการะอยู่ ทางโครงการฯ จะจัดนำท่านไป โดยท่านจะต้องเสียค่าใช้จ่าย ในการเดินทาง ทั้งหมดเอง
3. ประโยชน์ทางอ้อม ที่ท่านจะได้รับ คือ ท่านจะมีส่วนร่วม ในการอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติ อันเป็นมรดก ล้ำค่า ของ คนไทย และ ท่าน ยังได้ชื่นชมธรรมชาติของนกเงือก ในถิ่นที่นกเงือกดำรงชีวิตอยู่
หมายเหตุ พื้นที่ที่ดำเนินการโครงการอุปการะครอบครัวนกเงือก คือ พื้นที่อุทยานแห่งชาติ บูโด - สุไหงปาดี จังหวัดปัตตานี นราธิวาส และ ยะลา
อัตราค่าอุปการะครอบครัวนกเงือกแต่ละชนิดต่อครอบครัว / ปี
ชื่อชนิดของนกเงือก ค่าอุปการะ
นกเงือกปากย่น 7,200 บาท
นกเงือกหัวหงอก 3,700 บาท
นกชนหิน 3,700 บาท
นกเงือกปากดำ(กาเขา) 3,200 บาท
นกเงือกหัวแรด 3,200 บาท
นกกก นกกาฮัง นกกาวะ 2,700 บาท
นกเงือกกรามช้าง หรือ นกกู๋กี๋ 2,700 บาท

PoR

PoR

i like tinker bell

i like tinker bell