วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2552

วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2552

เหมือนภูมิแพ้ แต่ชนะ!


เดี๋ยวนี้บรรดาสิ่งรอบตัวล้วนดูไม่แข็งแรงแน่นอนกันไปหมด ไม่ว่าจะปลากระป๋องต้องคืน หรืออากาศที่หนาวไม่ลืมหูลืมตาไม่น่าเกิดขึ้น เลยทำให้บรรดาผู้คนน้อยใหญ่ป่วยไข้หายใจฟืดฟาดมีแต่เสียงน้ำมูกดังประสานโดยทั่วกัน และเมื่อแน่นมากทนไม่ไหวไปหาคุณหมอบางท่านก็บอกว่าเป็นไข้หวัดธรรมดาบ้างหรือเป็นภูมิแพ้บ้าง


อย่างหลังพบบ่อยที่สุดเวลาที่เป็นหวัดประเภท “ดื้อด้าน” รักษาเท่าไรไม่หายสักที บางครั้งอาการแน่นจมูกมีน้ำมูกที่ดูเป็นเรื่องธรรมดาอาจนำพาโรคร้ายมาหาอย่างที่เราคาดไม่ถึงก็เป็นได้ โดยเฉพาะโรคภูมิคุ้มกันไวเกินหรือที่เรียกขานกันทั่วไปว่า “ภูมิแพ้”


โรคภูมิแพ้ถูกจัดอยู่ใน “ถังขยะ”ของแพทย์มานานนม แถมเป็น “ถังขยะใบใหญ่” เสียด้วย เป็นต้นว่าถ้ามีน้ำมูกใสไหลตอนเช้าก็มักถูกพิพากษาว่าน่าจะแพ้ หรือแค่ไอค็อกแค็กคันคอรอชวนป๋วยไม่ไหวก็ว่าน่าจะภูมิแพ้ลงคอ เรื่อยไปจนถึงคันจมูกคันตายุบยิบแน่นจมูกขี้มูกไหลไม่หายก็ว่าเป็นภูมิแพ้


ไม่ใช่แค่เพียงระบบหายใจเท่านั้น หากแต่ลามไปถึงผิวหนังทั้งกายด้วยว่าถ้าหากมีผื่นคันขึ้นมาหาสาเหตุไม่ได้ก็โทษผู้ร้ายที่พูดไม่ได้ชื่อว่า “ภูมิแพ้” เอาไว้ก่อน นี่จึงเป็นเหตุให้ผมขออนุญาตเลือกเรื่องนี้เข้ามาคุยกันวันนี้ครับ เรื่องมันมีอยู่ว่า ...


หนุ่มน้อยรายหนึ่งมาหาด้วยสีหน้าวิตกกังวล มาขอคำปรึกษาว่าเขาเป็นโรคที่รักษาไม่ได้ ดูน่าทอดอาลัยไร้หวัง พอฟังไปฟังมาเขาถึงเฉลยว่าเป็นภูมิแพ้เพราะมีอาการแน่นจมูกถึงขนาดนอนไม่ได้ สูดหายใจไม่ได้กลิ่น มีอาการไอค็อกแค็กไม่หายเสียทีมานานวัน เปิดอินเตอร์เน็ทหาข้อมูลดูก็ล้วนแต่บอกว่ารักษาไม่หายทั้งนั้น ยิ่งอ่านยิ่งท้อใจ


นี่คือตัวอย่างของอิทธิพลจากสื่อรอบกายที่บางทีก็ฉาบฉวยบางทีไม่ได้ช่วยแต่ยิ่ง “ซ้ำ” ให้ทุกข์หนักเข้าไปอีก ที่จริงแล้วอาการที่หนุ่มน้อยประสบอยู่มันก็เข้าได้กับ “ภูมิแพ้” จริง แต่ยิ่งทำตัวเป็นลิงถือลูกท้อก็เหมือนเหยียบย่ำกายให้ยิ่งแพ้จมดินหนักตั้งแต่ต้น เพราะที่จริงแล้วยังมีโรคอีกมากที่มีอาการคล้ายภูมิแพ้ขึ้นจมูกแต่ไม่ใช่เสียทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น ...
1) เยื่อบุโพรงจมูกอักเสบจากเชื้อหวัดธรรมดา

2) ริดสีดวงจมูก ลักษณะเป็นก้อนเนื้องอกใสคล้ายเนื้อลำไย

3) โพรงไซนัสอักเสบเฉียบพลัน

4) มะเร็งหลังโพรงจมูก


ยังมีอีกมากมายครับ จะเห็นว่าโอกาสเป็นได้ตั้งแต่โรคจิ๊บๆ อย่างหวัดธรรมดาไปจนถึงโรค “ขั้นเทพ” อย่างมะเร็งเลยทีเดียวซึ่งจะมีอาการคัดจมูกชอบสั่งน้ำมูกแต่สั่งเท่าไรก็ไม่ออกเสียทีเพราะมันคือก้อนมะเร็งที่คัดอยู่ข้างในต่อให้สั่งจนขนจมูกร่วงก็ไม่มีน้ำมูกออกมาให้ยล


สำหรับหนุ่มน้อยรายนี้พอจับมาส่องโพรงจมูกดูก็ปรากฏว่าที่จริงแล้วเขาเป็นก้อนริดสีดวงจมูกหนึ่งยวงเลยทำให้แน่นจมูก และ “จมูกบอด” อดได้กลิ่นอาหารพาลกินไม่อร่อย พอรู้ตัวผู้ร้ายอย่างนี้แล้วคนไข้ก็มีกำลังใจขึ้นเยอะเหมือนความลับถูกคลี่คลายหมอดูทายแม่นก็มีกำลังใจขึ้นมาอีกครั้ง เลยแนะนำให้ไปออกกำลังกายโดยการวิ่งอย่างน้อยวันละ 30 นาที ถี่สักสี่ครั้งต่อสัปดาห์


มีข้อแม้อย่างประการเดียว คืออย่าไปว่ายน้ำเพราะจะยิ่งทำให้แน่นจมูกเหมือนถูกผูกอีก และนอกจากนั้นก็ขอให้เลี่ยงการใช้ยาพ่นนานาพันธุ์สรรหาเข้าสู่รูจมูกเพราะส่วนใหญ่เป็น “สเตียรอยด์” ซึ่งจะคอยไปเป็นปุ๋ยเร่งให้ก้อนริดสีดวงงามขึ้นจนส่งเข้าประกวดได้ แล้วก็แถมด้วยแนะนำว่าให้หาวิตามินซีมากินสักวันละพันถึงสองพันมิลลิกรัม และถ้าขี้เกียจกินก็ใช้เป็นกินฝรั่งกลมสาลี่สักวันละครึ่งกิโลก็ได้ไม่ยากเย็น


ที่สำคัญคือต้องให้ไปหาหมอหูคอจมูกให้ท่านค่อยๆทำคลอดเอาเจ้าก้อนเนื้อลำไยในจมูกออกเสีย โดยสรุปการรักษาอาการที่สงสัยไม่แน่ใจว่าจะเป็นภูมิแพ้ด้วยตัวท่านเองแบบไม่ต้องกลัวเสี่ยงจากผลข้างเคียงนั้นก็มี
1) ออกกำลังกายให้ได้วันละ 30 นาทีอย่างน้อย 4 ครั้งต่ออาทิตย์

2) เลี่ยงใช้สเตียรอยด์พ่นจมูกบ่อยจนเกินจำเป็น เพราะตอนแรกมักจะดีแต่ต่อไปอาจแย่หนักเรียกว่าโยโย่กลับมาแน่นทรมานกว่าเดิม

3) เติมวิตามินซีสักวันละหนึ่งถึงสองเม็ดใหญ่ ไม่งั้นก็กินผักเขียวอย่างบร็อคโคลีและฝรั่งให้มากขึ้น และควรกินทุกวัน

4) อย่าหาเรื่องไปว่ายน้ำหรือเล่นน้ำเย็นจัดนานๆ เพราะจะพาลทำให้แน่นขึ้นหรือหนักหน่อยก็กลายเป็นโพรงหนองในไซนัสกำจัดยากเป็นที่สุด


อุทหรณ์เรือ่งนี้สอนให้รู้ว่า อย่าเพิ่งเชื่อทางอินเตอร์เน็ทเสียทีเดียว แล้วท่านก็จะรู้ว่ายังมีโรคอีกมากที่คล้ายกันกับโรคที่เรามักคิดไกลไปถึงก่อนแล้วก็ตีขลุมไปว่าน่าจะเข้าขั้นตรีทูตหมดกำลังใจไปรักษา อย่างหนุ่มแน่นจมูกรายนี้ต่อมาก็หายดีไม่มีแน่นจมูกอีกแถมเรื่องภูมิแพ้ยังไม่ต้องพูดถึง เพราะแค่หวัดยังไม่ค่อยเป็นเลย


เห็นไหมครับจากเดิมที่เคยหมดหวังนั่งทุกข์ว่าเป็นโรคที่รักษาไม่หายอย่างภูมิแพ้และโทษชะตาชีวิตว่ามาเกิดกับเรา พอเอาเข้าจริงแล้วไม่ได้เลวร้ายอย่างนั้น ขอเพียงให้เรามีกำลังใจและดูให้แน่ว่าไม่ได้เผลอไปตัดสินชีวิตคิดสั้นปิดกั้นความหวังฝังตัวเองลงสู่ “ถังขยะใบใหญ่แห่งวงการสุขภาพ” เข้า ก็เท่านั้นเองครับ

วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2552

ออกแบบผมให้ดูแนว..ไหน.!!















ภัยของน้ำยาบ้วนปาก


แพทย์โรงพยาบาลราชวิถี เตือนคนไทยถึง "น้ำยาบ้วนปาก" หากใช้มากๆนานๆ ทำตุ่มรับรสเพี้ยน เกิดเชื้อราช่องปาก สีฟันเปลี่ยน หินปูนเกิดง่าย ส่วนยาสีฟันที่อ้างลดแบคทีเรียนั้น มีประสิทธิภาพเท่ากับแปรงฟันอย่างถูกวิธี ส่วนคนไทย 9 ล้านคนมีกลิ่นปาก และแนะวิธีเช็กกลิ่นปาก ท.ญ.นพมณี วงษ์กิตติไกรวัล ทันตแพทย์กลุ่มงานทันตกรรม โรงพยาบาลราชวิถี กล่าวว่า ประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าการใช้น้ำยาบ้วนปากมีไว้เพื่อกำจัดกลิ่นปาก แต่ที่จริงแล้ว เป็นเพียงการกลบกลิ่นปากด้วยกลิ่นของน้ำยาใน ระยะสั้นเท่านั้น จากนั้นไม่นานก็กลับมามีกลิ่น ปากเช่นเดิม


การใช้น้ำยาบ้วนปากติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ จะทำให้ไปทำลาย เชื้อแบคทีเรียที่ดีที่อาศัยอยู่ในปากให้ตายไปด้วย อาจนำมาซึ่งเชื้อราในช่องปาก ทำให้ตุ่มรับรสของลิ้นเพี้ยนไป มีสีเคลือบผิวฟันที่เปลี่ยนแปลง หรือทำให้เกิดหินปูนได้ง่าย ส่วนยาสีฟันที่อ้างว่าว่าสามารถลดแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของกลิ่นปากได้นั้น ยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันชัดเจนว่า ยาสีฟันจะมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อในปากได้ ซึ่งประสิทธิภาพของยาสี ฟันที่อ้างว่าลดแบคทีเรีย ไม่แตกต่างกับการแปรงฟันด้วยยาสี ฟันอะไรก็ได้อย่างถูกวิธีและใช้ไหมขัดฟันในซอกฟันส่วนที่แปรงไปไม่ถึง กลิ่นปากเกิดจากเชื้อแบคทีเรียในช่องปากชนิดที่ไม่ใช้ออกซิ เจน ผลิตก๊าซในกลุ่มซัลเฟอร์ กลิ่นปากยังเกิดได้จากผู้ป่วยมีโรคอื่นๆ อยู่ก่อนแล้ว เช่น โรคกรดไหลย้อน หากรักษาโรคเหล่านั้นกลิ่นปากก็จะหายไป รวมทั้งกลิ่นปากจากโรคในช่องปาก เช่น โรคปริทนต์ โรคเหงือก ฟันผุ ฯลฯ วิธีการตรวจว่ามีกลิ่นปากจริงหรือไม่นั้น ทำได้โดยการสังเกต จากคนรอบข้าง หรือเอาช้อนมาขูดลิ้นแล้วทิ้งไว้ 5 วินาที จากนั้นนำมาดม หากพบว่ามีกลิ่นเหม็นก็แนะนำให้มาพบทันต แพทย์เพื่อตรวจเช็กปัญหาในช่องปาก

วันอังคารที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2552

ปลาฉลามขาว


ปลาฉลามขาว (Great white shark) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง มีขนาดตัวที่ค่อนข้างใหญ่ พบได้ตามเขตชายฝั่งแถบทะเลใหญ่ มีความยาวประมาณ 6 เมตร น้ำหนักประมาณ 2250 กิโลกรัม ทำให้ปลาฉลามขาวเป็นปลานักล่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เป็นสิ่งมีชีวิตสปีชี่ส์เดียวในสกุล Carcharodon ที่ยังเหลืออยู่


ปลาฉลามขาวมีความสามารถคล้ายกับปลาฉลามสายพันธุ์อื่นๆ ที่มีอวัยวะรับสัมผัสพิเศษ ที่สามารถตรวจจับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่แผ่ออกมาจากปลาที่มีชีวิต ที่เคลื่อนไหวอยู่ในน้ำ ทุกครั้งที่สิ่งมีชีวิตเคลื่อนไหวอยู่ใต้ผิวน้ำ จะสร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา และปลาฉลามขาวมีสัมผัสไวเป็นพิเศษ ที่สามารถตรวจจับได้แม้มีความแรงเพียง 1/1000,000,000 โวลท์ ซึ่งเปรียบเทียบได้กับสามารถตรวจจับแสงแฟลชได้ในระยะ 1600 กิโลเมตร ปลาชนิดอื่นๆ ส่วนมากไม่มีพัฒนาการถึงระดับนี้ แต่มีความสามารถที่คล้ายๆ กันนี้ ที่ลายด้านข้างลำตัว


การที่ปลาฉลามขาวจะประสบความสำเร็จในการล่าเหยื่อ ที่มีความว่องไวสูงอย่างสิงโตทะเล สัตว์เลือดเย็น อย่างปลาฉลามขาวได้พัฒนา ระบบรักษาความร้อนภายในร่างกาย ให้สามารถรักษาอุณหภูมิให้สูงกว่าอุณหภูมิของน้ำภายนอกได้ โดยใช้ Rete mirabile ซึ่งเส้นใยเส้นเลือด ที่มีอยู่รอบตัวของปลาฉลามขาวนี้ จะรักษาความร้อนของเลือดแดงที่เย็นตัวลง ด้วยเลือดดำที่อุ่นกว่าจากการใช้พลังงานของกล้ามเนื้อ ความสามารถนี้ทำให้ปลาฉลามขาวรักษาระดับอุณหภูมิในตัว สูงกว่าอุณหภูมิน้ำทะเลรอบตัวประมาณ 14ํC (เมื่อล่าในเขตหนาวจัด) โดยที่หัวใจและเหงือกยังคงอยู่ที่อุณหภูมิของระดับน้ำทะเล


ปลาฉลามขาวสามารถอดอาหารได้นานราว 1 สัปดาห์โดยที่ช่วงนั้นไม่ต้องกินอะไร อุณหภูมิของร่างกายส่วนใหญ่ สามารถลดต่ำลงจนเท่ากับอุณหภูมิของระดับน้ำทะเล อย่างไรก็ตาม ก็ยังจัดว่าปลาฉลามขาวป็นสัตว์เลือดเย็นอยู่ดี เพราะว่าอุณหภูมิของร่างกายไม่คงที่ ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมโดยรอบ

วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2552

ตุ๊กตารัสเซีย "แม่ลูกดก"


แม่สาวที่มีลูกเล็กๆ ซ้อนซ่อนอยู่เป็นพรวน อันเป็นที่มาของชื่อ "แม่ลูกดก" เธอมีนามตามภาษารัสเซียอันเป็นบ้านเกิดว่า "มาตรีออชคา" ซึ่งแผลงมาจากชื่อสตรีภาษารัสเซีย "มาตรีโอนา" โดยที่การใส่ตุ๊กตาตัวเล็กซ้อนลงไปหลายๆ ตัวนั้น สำหรับรัสเซีย เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์และความมีชีวิตยืนยาว นับเป็นเครื่องหมายอันเป็นมงคล


ตุ๊กตาแม่ลูกดกชุดหนึ่ง ประกอบด้วยตุ๊กตาไม้หลายตัวเรียงซ้อนกันอยู่ข้างใน แต่ละตัวประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนบนและส่วนล่าง นำมาประกบกันได้สนิทตามร่องที่เซาะเอาไว้ ทุกตัวมีโพรงข้างในเพื่อให้อีกตัวและอีกตัวที่เล็กกว่าซ้อนไปเรื่อยๆ เว้นแต่ตัวสุดท้าย ซึ่งมีขนาดเล็กสุด จะเป็นตุ๊กตาเต็มตัวและตันเพียงชิ้นเดียว แม่ลูกดกชุดหนึ่งมีตุ๊กตาซ้อนข้างในกี่ตัวก็ได้ ถ้ามีจำนวนมาก ตุ๊กตาตัวใหญ่สุดที่อยู่นอกสุด จะต้องมีขนาดใหญ่มากด้วย และทุกตัวจะมีรูปร่างเหมือนกันหมด คือ คล้ายกระบอก โป่งตรงกลาง ด้านบนโค้งมน ส่วนฐานเรียบ ไม่มีมือหรือส่วนใดยื่นออกมา ใช้สีวาดเป็นหน้าเป็นตาเป็นตัวทั้งหมด แต่ละตัวในชุดมีใบหน้าและเสื้อผ้าเหมือนกัน ทั้งเคลือบเงาสวยงาม


กำเนิดของแม่ลูกดกเชื่อว่าเมื่อราว พ.ศ.2430 พระชาวรัสเซีย (บ้างว่าเขาเป็นนายช่าง) นำวิชาทำตุ๊กตาไม้ไปจากเกาะฮอนชูของญี่ปุ่น และเมื่อมาถึงรัสเซียก็ผสมผสานรูปแบบศิลปะท้องถิ่นเข้าไป คือแนวคิดในการซ้อนตุ๊กตาที่คุ้นเคยกันดีในรัสเซีย ประยุกต์เข้ากับงานประดิษฐ์แอปเปิ้ลไม้และไข่อีสเตอร์ จากนั้นตั้งชื่อรัสเซียนไปเนียนๆ ว่า มาตรีออชคา


พ.ศ.2434 ศิลปินคนสำคัญ เซอร์เกย์ มาลุยติน ได้ร่างแบบตุ๊กตาแม่ลูกดกขึ้นเป็นครั้งแรก และหลังจากแก้ไขหลายครั้ง สุดท้ายได้รูปแบบที่ตกลงกันคือ วาดเป็นเด็กหญิงหน้ากลมแป้น ตาใสแจ๋ว สวมชุดพื้นเมืองที่เรียกว่า ซาราฟัน (ชุดยาวถึงพื้นมีสายรั้งสองข้าง) และคลุมศีรษะด้วยผ้าสีสดใส แล้วยังมีตุ๊กตาที่เหมือนกันแต่ตัวเล็กกว่าใส่ไว้ข้างในด้วย แต่ตุ๊กตาข้างในแต่งตัวไม่เหมือนกัน กล่าวคือสวมโคโซโวรอตคัส (กระโปรงแบบรัสเซีย) และเสื้อเชิ้ตปอดดิออฟคัส (เสื้อคลุมยาวถึงเอวของผู้ชาย) และผูกผ้ากันเปื้อน จากนั้นจึงให้ช่างแกะสลักชื่อ วาสิลี่ ซเวิสด๊าชกิน ผลิตขึ้น


กระทั่ง พ.ศ.2443 มารียา มามอนโตวา ภรรยาเจ้าของโรงงานที่มาลุยตินและซเวิสด๊าชกินทำงานให้ นำตุ๊กตานั้นไปจัดแสดงในงานสินค้าที่กรุงปารีส และได้รับรางวัลเหรียญทองแดง และไม่ช้าจากนั้นก็มีการผลิตตุ๊กตาแม่ลูกดกในรัสเซียอย่างแพร่หลาย เริ่มจากกรุงมอสโก ไปสู่หลายท้องที่ และก่อเกิดหลากหลายรูปแบบตามมา


จวบจนยุคการพัฒนาเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของรัสเซียครั้งใหญ่ เมื่อ 100 กว่าปีก่อน เกิดความสนใจที่จะรักษาธรรมเนียมพื้นบ้านมากขึ้น ทั้งฟื้นฟูวัฒนธรรม และรวบรวมผู้เชี่ยวชาญศิลปะพื้นบ้านต่างๆ และเพื่ออนุรักษ์ความทรงจำเก่าๆ เกี่ยวกับท้องถิ่นรัสเซีย จึงมีการสร้างห้องทำงานช่างศิลปะขึ้นใกล้กับกรุงมอสโก ศิลปะพื้นบ้านต่างๆ จำพวกของเล่นและตุ๊กตา รวมถึงแม่ลูกดก ถูกรวบรวมมาจากพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อศึกษาและผลิตสืบไป


เมื่อแรกเริ่มเดิมมี หน้าตาของตุ๊กตาแม่ลูกดกทำเป็นหญิงชาวนา แต่งกายแบบดั้งเดิม มีผ้าคลุมศีรษะ เหมือนที่คุ้นตาในภาพวาดเก่าแก่ แต่ในภายหลังการรังสรรค์แตกแขนง มาตรีออชคามีทั้งแบบที่เป็นเทพธิดา นางฟ้า ตัวการ์ตูน ดอกไม้ อื่นๆ มากมาย รวมทั้งที่หน้าตาล้อเลียนคนดัง รวมถึงกลายพันธุ์เป็นพ่อลูกดก คือเขียนเป็นผู้ชายก็มี และปัจจุบัน นอกจากในรัสเซีย ตุ๊กตาแม่ลูกดกยังเป็นของที่ระลึกจากประเทศอื่นๆ ที่แยกจากโซเวียตเดิม เช่น อุซเบกิสถาน คาซัคสถาน ซึ่งผลิตมาตรีออชคาแพร่หลายเช่นกัน

Typographic Paper Illustrations












ตึกแปลกๆๆ































โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน


โรคเมเนียส์หรือน้ำในหูไม่เท่ากัน เป็นโรคที่มีความผิดปกติของหูชั้นใน ทำให้เสียความรู้สึกเกี่ยวกับการทรงตัว (เกิดอาการวิงเวียน) และการได้ยิน (เกิดอาการหูตึง แว่วเสียงดังในหู)ส่วนมากจะเป็นเพียงข้างเดียว ประมาณร้อยละ 10-15 อาจเป็นทั้งสองข้าง


โรคเมเนียส์มีสาเหตุอย่างไร...

สันนิษฐานว่าโรคนี้เกิดจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณของเหลวในหูชั้นในส่วนที่ควบคุมเกี่ยวกับการทรงตัวซึ่งส่งผลกระทบต่อประสาทการทรงตัวและประสาทการได้ยิน

โรคเมเนียส์มีอาการอย่างไร...

มักจะเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวด้วยอาการวิงเวียนอย่างรุนแรงจนบางครั้งทำให้ผู้ป่วยล้มลงผู้ป่วยจะรู้สึกว่าพื้นบ้านหรือเพดานหมุนมักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนรุนแรงและอาจมีอาการตากระตุก
อาการวิงเวียนอาจเป็นครั้งละไม่กี่นาทีถึงหลายชั่วโมงแล้วหายไปได้เอง แต่จะกำเริบได้เป็นครั้งคราว อาจทิ้งช่วงห่างกันเป็นสัปดาห์ๆ หรือเป็นปีๆ ซึ่งไม่ค่อยแน่นอน


ผู้ป่วยมักมีอาการหูตึงและแว่วเสียงดังในหูซึ่งเป็นพร้อมกับอาการวิงเวียนและจะยังคงเป็นอยู่ตลอดเวลา ระหว่างที่ไม่มีอาการวิงเวียน เสียงที่ไม่ได้ยินมักเป็นเสียงต่ำ เช่น เสียงนาฬิกา เสียงกริ่งโทรศัพท์ เป็นต้น
อาการวิงเวียนมักจะเป็นมากเวลาร่างกายเหนื่อยล้าหรือมีภาวะตึงเครียดทางจิตใจ แต่จะเป็นห่างขึ้นเมื่อสุขภาพทั่วไปแข็งแรงดีและจิตใจไม่เครียด


คำแนะนำสำหรับผู้ป่วย

ผู้ป่วยควรงดอาหารเค็มจัด งดเหล้าและบุหรี่ และดื่มน้ำให้น้อยลงเพื่อลดปริมาณของเหลวในหูชั้นในอาจช่วยให้อาการกำเริบห่างขึ้น

PoR

PoR

i like tinker bell

i like tinker bell