วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ศัลยกรรมสไตล์เกาหลีฮิต วัยรุ่นแห่เลียนแบบ!!


สวยด้วยมีดหมอ ไม่ได้เป็นกระแสฮอตเฉพาะในหมู่แวดวงคนบันเทิง ดารา นางแบบ นักร้อง หรือนางงาม ที่ต้องหากินอยู่กับความสวยความงามเท่านั้น แต่ทุกวันนี้ กระแสนิยมการทำศัลยกรรมเสริมความงาม กำลังแพร่ระบาดไปทั่วทุกวงการ ไม่เว้นแม้แต่วัยรุ่นวัยทีน ที่ร่ำร้องอยากสวยใสแบบสาวเกาหลี...ซะเหลือเกิน!!

คำยืนยันจากศัลยแพทย์มือหนึ่งของเมืองไทย นพ.ปรีชา เตียวตรานนท์ หัวหน้าทีมศัลยแพทย์ตกแต่ง แผนกศัลยแพทย์ตกแต่ง โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ฉายให้เห็นแนวโน้มว่า สมัยก่อนการทำศัลยกรรมยังจำกัดอยู่ในกลุ่มแวดวงบันเทิง รวมถึงสาวประเภทสอง แต่ระยะหลังมานี้ ความนิยมในการทำศัลยกรรมเริ่มแพร่กระจายไปในกลุ่มสาวทำงาน มีจำนวนมากที่เก็บเงินเก็บทองมาทำตาสองชั้น, เสริมจมูก และที่น่าแปลกใจคือ ในระยะ 10 ปีมานี้ สาวไทยนิยมทำหน้าอกเพิ่มความอึ๋มกันเยอะขึ้นมาก จาก 0% พุ่งขึ้นเป็น 100% เพียงแต่ยังปกปิดเป็นความลับ เพราะถือเป็นจุดที่น่าอายที่สุด

ไม่เฉพาะแต่สาวทำงานเท่านั้น แม้แต่กลุ่มวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 20 ก็หันมานิยมการทำศัลยกรรม!! คุณหมอปรีชา เล่าว่า ในช่วง 2-3 ปีนี้ มีเด็กวัยรุ่นมาทำศัลยกรรมกับหมอเยอะมาก แต่กลุ่มนี้จะค้นคว้าหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตมาอย่างดี เข้าใจและรู้หมดว่าตัวเองกำลังทำอะไร อย่างบางคนอายุแค่ 15 - 16 ปี ก็ขอเสริมหน้าอกแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะนิยมเสริมหน้าอกให้ใหญ่ขึ้นแค่คัพเดียว ไม่ต้องการไซส์มโหฬาร การทำหน้าอกมีอยู่ด้วยกันหลายวิธีและหลายราคา สมัยก่อนเสริมหน้าอก เสียค่าใช้จ่าย 25,000 บาท แต่สมัยนี้ราคาพุ่งขึ้นเป็น 120,000 - 150,000 บาท ถ้าทำจมูกก็ตกราว 15,000 - 30,000 บาท จากสมัยก่อน ทำจมูกคิดแค่ 3,000 บาท

นอกจากจะฮิตการเสริมหน้าอกเพิ่มอึ๋มแล้ว คุณหมอยืนยันว่า เทรนด์การทำศัลยกรรมสไตล์เกาหลีก็มาแรงมาก วัยรุ่นไทยสมัยนี้ จะตัดรูปดาราเกาหลีมาให้หมอดูเป็นตัวอย่างว่า อยากได้ตาแบบนี้ จมูกแบบนี้ การทำศัลยกรรมสไตล์เกาหลี จะเน้นความเป็นธรรมชาติ มองด้วยตาเปล่าไม่รู้ว่าทำศัลยกรรม อย่างเช่น การทำตา จะเป็นตาสองชั้นทรงสระอิแบบเอเชีย หรือไม่ก็สองชั้นหางตาเตียวเสี้ยน มากกว่าจะเป็นตาสองชั้นใหญ่เป็นตากบดูลึกโบ๋แบบฝรั่ง ส่วนจมูก ก็นิยมแบบโด่งตรงและคม ไม่โด่งตั้งแบบฝรั่ง หรือเรียวแหลม บางคนยังเหลาคางให้เรียวลงด้วย แต่หมอจะไม่ค่อยแนะนำให้ทำ เพราะการเหลาคางเป็นเรื่องใหญ่มาก ต้องคุยกันให้เคลียร์ว่าอยากทำจริงๆ

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หนุ่มไทยจำนวนไม่น้อย ยังมาหาหมอเพื่อทำอวัยวะเพศจากเล็กให้ใหญ่เบิ้มขึ้นด้วย... "การผ่าตัดขยายขนาดอวัยวะเพศชาย เสียค่าใช้จ่าย 100,000 - 200,000 บาท โดยเทคนิคการทำต้องเริ่มจากการยืดอวัยวะเพศชายให้ยาวขึ้นราว 1 นิ้ว จากนั้นใส่วงแหวนเพื่อเพิ่มรอบวงขนาดอวัยวะเพศให้ใหญ่ขึ้น แต่ต้องระวังอย่างมาก ห้ามตัดโดนเส้นประสาทเด็ดขาด เพราะจะทำให้ความรู้สึกไม่เหมือนเดิม"

ส่วนการทำศัลยกรรมแปลกๆ ที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกัน คุณหมอปรีชาก็ได้แสดงฝีมือมาเยอะแล้วไม่ว่าจะเป็น การเสริมก้นให้อวบอิ่ม ทำโดยผ่าร่องก้นตรงกลาง แล้วสอดถุงซิลิโคนเข้าไปในแก้มก้นทั้ง 2 ข้าง สนนราคาอยู่ที่ 150,000 บาท อีกเคสที่น่าสนใจก็คือ การผ่าตัดแปลงเพศเปลี่ยนผู้หญิงเป็นผู้ชาย!! อันนี้นิยมทำในหมู่ทอมญี่ปุ่น เริ่มต้นคุณหมอจะให้คุยกับจิตแพทย์จนแน่ใจว่าอยากเป็นผู้ชายจริงๆ จากนั้นให้ฮอร์โมนเพศชายต่อเนื่องกัน 6 เดือน เพื่อปรับสภาพร่างกายให้พร้อม

เมื่อถึงเวลาผ่าตัด หมอจะเริ่มจากการตัดมดลูก, ตัดรังไข่ และปิดช่องคลอด แล้วจึงทำอวัยวะเพศชาย โดยใช้หนังและเส้นประสาทจากแขนคนไข้ หรือหน้าท้อง มาหุ้มซิลิโคนทำเป็นอวัยวะเพศชายและไข่ ผลที่ได้รับก็คือ ยืนปัสสาวะได้, มีอวัยวะเพศเหมือนกับจู๋ของเด็ก และสามารถร่วมเพศได้ แต่ไม่มีความรู้สึกเหมือนชายแท้ การผ่าตัดแบบนี้เสียค่าใช้จ่ายราว 300,000 บาท คนไข้ต้องทานฮอร์โมนเพศชายตลอดชีวิต

อย่างไรก็ดี คุณหมอปรีชากล่าวย้ำว่า การทำศัลยกรรมไม่มีอันตรายอย่างที่คิด ถ้าทำกับแพทย์ที่มีความชำนาญ และใช้ซิลิโคนแบบเพียวริไฟล์ สำหรับทางการแพทย์จริงๆ พักฟื้นแค่อาทิตย์เดียว ก็กลับไปทำงานได้ ส่วนที่มีข่าวจมูกเน่า หรือนมเน่า ส่วนใหญ่เกิดจากคลินิกเถื่อน ใช้ซิลิโคนผิดประเภท เช่น เอาซิลิโคนรถยนต์มาใส่ให้คนไข้ ถ้าอยากทำศัลยกรรม ต้องศึกษาข้อมูลให้ดีถึงผลดีผลเสีย เพราะการทำศัลยกรรมคือการผ่าตัด ไม่ใช่การเสริมสวย ยังไงก็มีความเสี่ยงในตัวเอง!!

***เอ... แล้วเพื่อนๆ ล่ะคะ สนใจอยากจะทำ "ศัลยกรรม" กันบ้างรึเปล่า? คิดดีๆ นะคะ ^O^/ การศัลยกรรม เป็นเรื่องที่เสียงอยู่เหมือนกันนะ...สวยแบบธรรมชาติให้มาน่าจะดีกว่าเนอะ ^ ^

วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ไว้อ่าน…เมื่อทะเลาะกับแฟน


ชีวิตคนเรามีอะไรมากมายที่ผ่านเข้ามาให้ซึมซับรับรู้



ในชีวิตคนเรามีผู้คนมากมายที่ผ่านเข้ามาให้รู้จักมักคุ้น
แต่ในผู้คนมากมายเหล่านั้น
อย่างน้อยคงต้องมีใครบางคนที่ทำให้เรารู้สึก “ไม่ธรรมดา”
ที่จะนึกถึง เรียกว่าเป็น “ความพิเศษ”
ที่เราจะยกเว้นเอาไว้จากความปกติทั่วไปของจิตใจ
ก็ในเมื่อคำว่า “พิเศษ” หมายถึงความจำเพาะ ความแปลกแยก ความดีงาม ความอบอุ่นในหัวใจ
กระนั้นทำไมเราไม่ปฏิบัติต่อเขาให้ตรงกับที่ใจคิด


ให้ “ความรู้สึกดีดี” จากจิตใจที่ดีดี
ให้ “ความอาทรถึง” จากจิตใจที่นึกถึง
ให้ “ความห่วง” จากจิตใจที่เป็นห่วง
ให้ไปเถอะ ให้ไปอย่างดีดี แต่มี “สติ”
ให้ไปเถอะ ให้ไปอย่างอบอุ่น แต่ไม่ “คุกรุ่น”
ให้ไปเลย ให้ไปเท่าไหร่ก็ได้ แต่เมื่อให้ไปแล้วต้อง “ไม่ร้อนรุ่มกลัดกลุ้ม”


และหากเมื่อใดจิตใจอาจระส่ำระสาย สะดุดกับอะไรขึ้นมาบ้าง
ก็จงหยุดพักตรึกตรอง อย่าปล่อยให้พายุอารมณ์โถมพัด
“สิ่งดีดี” จนกระจัดกระจาย
เพราะ “การให้ความหมาย” ไม่ใช่ “การตั้งความหวัง”
คนสองคนให้ความหมายซึ่งกันและกัน แต่คนสองคน
“จะไม่ตั้งความหวังในกันและกัน”
เพราะการตั้งความหวังมักนำพาซึ่ง “การเรียกร้อง”
“ความอยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ” โดยที่ไม่รู้ตัว
มันร้อนนัก หนาวนัก และไม่เป็นสุข
เราต้องไม่ลืมปรับอุณหภูมิจิตใจเอาไว้ที่องศาอุ่นๆ
หากเริ่มรู้สึกตัวว่า ความร้อนเริ่มทวีขึ้น เราต้องค่อยๆ
เดินออกมาสูดอากาศเย็น
หากตรงกันข้ามเราก็ต้องหลบเร้นจากความหนาวมาหาไอแดดเช่นกัน
และอย่าลืมว่า “ความพิเศษ”
ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นพิเศษมากหรือพิเศษสุด
หรือพิเศษอย่างยิ่งในคนคนเดียว
ทั้งเราและเขาอาจจะมีคนพิเศษในวิถีชีวิตได้หลายลักษณะ
พิเศษในเรื่องนั้น พิเศษในเรื่องนี้
ในเมื่อหัวใจเป็นของเรา
เราก็ย่อมเลือกให้ความพิเศษกับใครก็ได้ที่เราจะไม่ต้องแลกกับความทุกข์อย่างพิเศษกลับมา


จงให้ “ความพิเศษ” เป็นชีวิตชีวา
เป็นแววตาที่แจ่มใส
เป็นความห่วงใยที่เมื่อนึกถึงทีไรก็ยิ้มได้
ไม่วิ่งหนี แต่ไม่วิ่งตาม
ไม่หักห้าม แต่ไม่กระโจนใส่
ไม่เป็นน้ำตาลที่หวานอ่อนไหว
แต่เป็นความอบอุ่นในหัวใจและเอื้ออาทร
จงเป็นความแจ่มใสในอารมณ์ของตัวเอง เป็นความชุ่มชื่น สดใส เช่นสายน้ำ
เป็นสีสันงดงามเช่นมวลผกา เป็นสีเขียวของใบไม้
ที่เย็นที่ตาและที่ใจ
และที่ตรงนี้ จะอีกนานเท่าใด ไม่ว่า “คนพิเศษ” คนนั้นจะอยู่ใกล้หรือต้องจากกันไกล
“ความพิเศษ” นั้นก็จะคงอยู่อย่างมีคุณค่า ณ ที่เดิม ที่ซึ่งใจข้างซ้ายตรงกัน


วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ชุดประจำชาติ Miss Universe


หลังจากที่ประสบความสำเร็จได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางสำหรับโครงการ ออกแบบ ชุดประจำชาติ สำหรับตัวแทนสาวไทยไป ประกวด นางงามจักรวาล (Miss Universe®) เมื่อปีที่ผ่านมา

ล่าสุด สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 เดินเครื่องเติมความฝันให้กับนักออกแบบรุ่นใหม่ชาวไทยอีกครั้ง โดยในปีนี้มีผลงานส่งเข้ามาร่วมโครงการถึง 1,476 ผลงาน โดยผลงานที่โดดเด่นชนะใจคณะกรรมการตัดสินได้แก่ “ญ.งามท้องถิ่นสุวรรณภูมิ” ของ นายธัชกร ตั้งธนกรกิจ คว้าเงินรางวัล 20,000 บาท พร้อมความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการประกวดนางงามจักรวาล 2009 (2009 Miss Universer)

ด้าน ธัชกร ตั้งธนกรกิจ เจ้าของผลงาน “ญ.งามท้องถิ่นสุวรรณภูมิ” เปิดเผยถึงแนวคิดและแรงบันดาลใจในการออกแบบผลงานชิ้นนี้ว่า “การออกแบบชุด ญ.งามท้องถิ่นสุวรรณภูมิ อยู่ภายใต้แนวคิด Creative Thai ที่ทางกองประกวดมิสไทยแลนด์ ยูนิเวิร์สกำหนดไว้ ซึ่งผมได้รับแรงบันดาลใจมาจาก ความสวยงามของผู้หญิงไทย ที่นอกจากจะมีความงามจากภายนอกแล้ว ยังงดงามออกมาจากภายในจิตใจ มีประกายความสดใสผ่องอำไพดุจดังทอง สมกับคำว่า สุวรรณภูมิ ดินแดนแห่งหญิงงาม”

โดยท่อนบนของชุด คาดด้วยผ้าทอสีเนื้อ ท่อนล่าง เป็นผ้านุ่งที่ใช้ผ้าทอสีน้ำตาลเข้มธรรมชาติ มีลวดลายแสดงถึงเอกลักษณ์ไทย นำมาจับ พับซ้อนให้เกิดระดับชั้น ซึ่งจะทำให้ผ้าผืนเรียบดูมีมิติราวกับมีชีวิตขึ้นมา ขณะที่ด้านหน้าของผ้านุ่งคาดทับด้วยผ้าปักลายนูน ตกแต่งด้วยดิ้นเงินระยิบระยับ

ส่วนเครื่องประดับ ได้แนวคิดจากเครื่องประดับของชาวไทยภูเขาที่เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงความงาม โดยนำทองเหลืองหลายชิ้นหลายขนาดซ้อนกันจนถึงระดับอก และให้พาดผ่านไหล่เสมือนสไบทองคำแท่งยาวจรดพื้น”

ธัชกร ตั้งธนกรกิจ จบการศึกษาระดับปริญญาตรีทางด้านภูมิสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ปัจจุบันเป็นนักออกแบบอิสระ เจ้าของบริษัทรับออกแบบตกแต่งภายใน และดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการสมาคมภูมิสถาปนิกประเทศไทย

สำหรับผลงาน “ญ.งามท้องถิ่นสุวรรณภูมิ” จะถูกนำไปพัฒนารายละเอียดเพิ่มเติม เพื่อตัดเย็บเป็นชุดประจำชาติ

ส่วน ไข่มุก-ชุติมา ดุรงค์เดช มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส ประจำปี 2552 สวมใส่ขึ้นเวทีการประกวดนางงามจักรวาล 2009 (2009 Miss Universe®) ที่เครือรัฐบาฮามาส เดือนสิงหาคม นี้ และหากชุดดังกล่าวได้รับการคัดเลือกเป็นชุดประจำชาติยอดเยี่ยม ช่อง 7 สี จะมอบเงินรางวัลพิเศษ 30,000 บาท ให้แก่ นายธัชกร ตั้งธนกรกิจ ผู้ออกแบบอีกด้วย

ทั้งนี้ โครงการออกแบบชุดประจำชาติ สำหรับตัวแทนสาวไทยไปประกวดนางงามจักรวาล จัดขึ้นเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน โดยผลงานที่ชนะเลิศในปีที่ผ่านมาได้แก่ “Spirit of Fighting” ของ นายสถาปัตย์ มูลมา นักศึกษาจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาวิชาการออกแบบนิเทศศิลป์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยโด่งดังไปทั่วโลก เมื่อ กวินตรา โพธิจักร มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส ประจำปี 2551 ได้รับการประกาศให้ได้รับรางวัลชุดประจำชาติยอดเยี่ยม บนเวทีนางงามจักรวาล 2008 (2008 Miss Universe®) ณ ประเทศเวียดนาม


ผมสั้น น่ารัก



PoR

PoR

i like tinker bell

i like tinker bell