
รองเท้า
เสื้อผ้าชุดดำ
นาฬิกา
รูปถ่าย
ผ้าเช็ดหน้า
ของมีคม
หวี
เครื่องแก้วต่างๆ
โปรดใช้วิจารณญาณในการวิเคราะห์ มันเป็นแค่สิ่งบอกเล่า หากใครจะเชื่อหรือไม่ก็อยากให้ดูๆและเก็บไว้ประดับความรู้นะ เพราะสิ่งสำคัญคือการกระทำของตัวตัวเราและใจของเราในทุกๆเรื่อง
| |
|
ประกาศนียบัตร DELF และ DALF
ประกาศนียบัตรความรู้ทางด้านภาษาฝรั่งเศสขั้นพื้นฐาน (DELF) และประกาศนียบัตร ความรู้ทางด้านภาษาฝรั่งเศสขั้นสูง (DALF) นี้ เป็นประกาศนียบัตรที่รับรองความรู้ ภาษาฝรั่งเศส ในฐานะภาษาต่างประเทศ ซึ่งรับรองอย่างเป็นทางการโดย ระทรวงศึกษาธิการ ของฝรั่งเศส ประกาศนียบัตรที่มีผลบังคับรับรองตลอดชีวิตทั้งสองระดับนี้ เป็นที่ยอมรับ ในประเทศฝรั่งเศส และทั่วโลก สามารถนำไปแสดงระดับความสามารถทางภาษาฝรั่งเศส กับนายจ้างได้ ในการวัดระดับของประกาศนียบัตรความรู้ ทางด้านภาษาฝรั่งเศสขั้นพื้นฐาน (DELF) และประกาศนียบัตรความรู้ทางด้านภาษาฝรั่งเศสขั้นสูง (DALF) ประกอบด้วย ประกาศนียบัตรซึ่งไม่เกี่ยวเนื่องต่อกัน 6 ระดับ โดยประกอบกันเป็น 6 ระดับตามมาตรฐาน อ้างอิงร่วมกัน ของสหภาพยุโรป สำหรับภาษาต่างๆ และปรับให้เข้ากับทุกคน ประกาศนียบัตร แต่ละใบจะเป็นการทดสอบที่เทียบเท่ากับการทดสอบทักษะ 4 ด้าน คือ ความเข้าใจกับการพูด ความเข้าใจกับการเขียน
ผู้ชายสมัยนี้ ว่าหายากแล้ว ไอ้ที่มีอยู่ในมือนั้น ก็แสนจะสร้างความรำคาญใจได้ทุกวี่ทุกวัน ครั้นจะเลิกก็กลัวจะหาไม่ได้อีก แถมแต่ละวัน ยังต้องรับมือ กับคำพูดกวน(ที)นทุกวัน ข้ออ้างสารพัด คุณผู้ชายขาาาาาา คุณรู้บ้างหรือไม่ ที่คุณชอบว่า ว่าเรางี่เง่า แต่จริงๆ แล้วคุณน่ะ (โครต) งี่เง่าเช่นกัน...ไม่เชื่อมาดูเลย แล้วบอกมา ว่ามันไม่จริง!!!
1. งานเยอะ ประโยคยอดฮิต ที่คุณผู้ชายมักหยิบมาใช้อยู่เสมอ เพราะพวกมันคิดว่า นี่คือคำที่พูดแล้ว ผู้หญิงมีสมองอย่างเรา ต้องเข้าใจทันที และไม่อิดออดอ้อนวอน ให้มาหา แต่พอเราบอกมันว่า งานเยอะ มันถามว่า อยากเลิกใช่มั้ย??
2. ไม่มีตังค์! แค่จะชวนออกมาเจอหน้ากัน อย่างมากก็กินไอติม กินข้าวธรรมดา มันคงไม่ได้มื้อละ สี่ซาห้าพันซะเมื่อไหร่ จริงมั้ย..
เป็นเคล็ดลับการดูแลสุขภาพตามศาสตร์แพทย์แผนจีน ได้แก่
1.ไข่เยี่ยวม้า ถ้ากินมากและบ่อย อาจเกิดพิษจากสารตะกั่ว การดูดซึมแคลเซี่ยมลดน้อยลง ขาดแคลเซี่ยม ทำให้กระดูกผุได้
2.ปาท่องโก๋ ใช้สารส้ม ซึ่งมีตะกั่ว เป็นพิษต่อเซลล์สมอง ความจำเสื่อม คอแห้ง เจ็บคอ
3.เนื้อสัตว์ย่าง เกิดสารเบนโซไพริน ก่อมะเร็ง
4.ผักดอง เกิดการสะสมเกลือโซเดียม หัวใจทำงานหนัก เกิดความดันเลือดสูง เป็นโรคหัวใจง่าย
5.ตับหมู ตับหมู 1 กก. มีคอเลสเตอรอลกว่า 400 มก. ถ้ามีมากและนานทำให้หลอดเลือดแข็งตัว เสี่ยงต่อโรคหัวใจ, หลอดเลือดทางสมอง, มะเร็ง
6.ผักโขม ผักปวยเล้ง มีกรด"ออกซาเลต"มาก ทำให้การขับสังกะสีและแคลเซียมออกจากร่างกายมาก เกิดภาวะขาดแคลนน้ำ
7.บะหมี่สำเร็จรูป ทำให้ขาดสารอาหาร เกิดการสะสมสารพิษในร่างกาย
8.เมล็ดทานตะวัน มีส่วนประกอบของกรดไขมันไม่อิ่มตัว กินมากทำให้มีการสะสมไขมันที่ตับได้
9.เต้าหู้หมัก เต้าหู้ยี้ การหมักมีโอกาสปนเปื้อนเชื้อโรค และมีสารย่อยโปรตีน ไฮโดรเจนซัลไฟล์ ที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
10.ผงชูรส ไม่ควรกินเกิน 6 กรัมต่อวัน จะทำให้กรด"กลูตามิก"ในเลือดสูง ซึ่งมีผลต่อการทำงานของประจุแคลเซี่ยมและแมกนีเซียม ทำให้ปวดหัว ใจสั่น คลื่นไส้ และมีผลเสียต่ออวัยวะสืบพันธุ์
เตือนหนุ่มสาวให้ระวังคนที่จะจูบว่าปากเป็นแผลหรือไม่ หลังพบว่า การจูบกันเป็นช่องทางทำให้เชื้อเริม และเมื่อติดเชื้อแล้วจะคงอยู่ในตัวเราไปตลอดชีวิต...
ฃหมอเมืองจิงโจ้กล่าวเตือนว่า อย่าไปนึกว่า จูบกันไม่เป็นไร จะเจ็บใจได้ภายหลัง เพราะการแสดงความรักแบบนี้ อาจจะเป็นอันตรายทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เนื่องจากว่าการจูบกันเป็นช่องทางทำให้เริมติดต่อไปถึงกันได้
หมอทริเซีย เบอเกอ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารของสมาคมต่อต้านเริมกล่าวว่า
"ไม่มีพ่อแม่ หรือคู่รักคนไหนต้องการจะให้เชื้อไวรัสเริมไปติดต่อคนอื่น แต่เราควรจะรู้ไว้ว่า การจูบกันเป็นช่องทางทำให้เชื้อติดต่อถึงกันที่สำคัญและเมื่อใดที่ติดเชื้อเข้าแล้ว มันจะคงอยู่ในตัวเราไปตลอดชีวิตและอาจกลับสำแดงเดชขึ้นมาอีกเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าใครมีอาการเจ็บแสบแผลเปื่อย หรือเม็ดพองที่ริมฝีปาก หากไปจูบใครเข้า ก็เท่ากับเอาเชื้อไปให้เมื่อนั้น แม้จะไม่มีอาการเป็นแผลเปื่อย ก็ยังอาจเอาเชื้อไปติดได้ ยิ่งเกิดมีแผลเปื่อยจะยิ่งทำให้ติดเชื้อง่ายเข้า"
ผู้อำนวยการบอกต่อไปว่า ทางหน่วยงานจะได้เปิดการรณรงค์ทางสื่อมวลชนต่างๆ เพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักถึงภัยของโรคเริมเอาไว้.
การนอนหลับของคนเรานั้นมี 2 ช่วง คือ ช่วงหลับธรรมดา (Non-rapid eye movement sleep: NREM) ที่แบ่งย่อยได้ถึง 4 ระยะ และช่วงหลับฝัน (Rapid eye movement sleep: REM) รายละเอียดแต่ละช่วงมีดังนี้ค่ะ
ช่วงหลับธรรมดา
•ระยะที่ 1 หรือระยะหลับตื้น เป็นระยะที่ยังหลับไม่สนิท ครึ่งหลับครึ่งตื่น
•ระยะที่ 2 หรือระยะหลับจริง มักเกิดขึ้นภายใน 10 นาทีของการหลับตื้น ช่วงนี้อุณหภูมิร่างกายจะลดลง ส่วนอัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจจะเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ
•ระยะที่ 3 และ 4 หรือระยะหลับลึก เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ร่างกายจะฟื้นฟู ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สภาพทั่วไปขณะหลับจะมีแรงดันเลือดลดลง หายใจช้าลง รวมทั้งกล้ามเนื้อทำงานน้อยลงด้วย ผู้ที่หลับในระยะนี้มักจะตื่นยาก
ช่วงหลับฝัน
การนอนหลับในระยะนี้จัดเป็นอีกช่วงเวลาสำคัญที่ร่างกายยังคงฟื้นฟูตัวเองต่อเนื่องจากช่วงที่แล้ว และเป็นระยะที่เราจะเกิดความฝัน สภาพทั่วไปขณะนี้จะมีการหายใจค่อนข้างไม่สม่ำเสมอ
การนอนหลับ จะเป็นไปตามจังหวะสลับกันไปมา 4 รอบ ระหว่างหลับตื้นและหลับลึก กินเวลาเฉลี่ยรอบละราว 90-110 นาที โดยแบ่งเป็นหลับตื้น 75 เปอร์เซ็นต์และหลับลึกอีก 25 เปอร์เซ็นต์ ส่วนช่วงหลับธรรมดากับหลับฝันนั้นจะสลับกันไปมาตลอดคืนเช่นกัน โดยคิดเป็นหลับธรรมดา 75 เปอร์เซ็นต์และหลับฝันเพียง 25 เปอร์เซ็นต์
นอนกรน VS หยุดหายใจขณะหลับ
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับเป็นผลต่อเนื่องจากการนอนกรน เกิดจากการตีบแคบของทางเดินหายใจอันเนื่องมาจากอวัยวะในคอใหญ่เกินไป ไม่ว่าจะเป็นลิ้นใหญ่ ลิ้นไก่โต ต่อมทอนซิลโต หรือกล้ามเนื้อในลำคอผ่อนคลายมากเกินไป จากอายุที่เพิ่มขึ้นและจากไลฟ์สไตล์ที่ไม่ถูกต้อง เมื่อกล้ามเนื้อดังกล่าวตกลงไปไปปิดกั้นทางเดินหายใจขณะนอนหลับ ทำให้ทางเดินหายใจแคบลง ร่างกายต้องพยายามหายใจเข้าออกแรงกว่าปกติ โครงสร้างต่างๆ ในลำคอจึงสั่นสะเทือนกลายเป็นเสียงกรน ในรายที่ช่องทางเดินหายใจแคบมากๆ จะทำให้เกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับเป็นช่วงๆ ได้
มีหลายปัจจัยที่ทำให้คนเรานอนกรนและเผชิญภาวะหยุดหายใจขณะหลับ โดยส่วนใหญ่มักเกิดกับผู้ชาย เพราะแต่ละวันผู้ชายใช้พลังงานมากกว่าผู้หญิง จึงมีโอกาสหลับและกรนได้ง่ายกว่า รวมทั้งผู้ชายมักปล่อยเนื้อปล่อยตัวจนเกิดโรคอ้วน มีไขมันสะสมจนทำให้ทางเดินหายใจตีบแคบได้ รวมทั้งการสูบบุหรี่ที่ทำให้การพัดโบกของเนื้อเยื่อทางเดินหายใจไม่ปกติ การดื่มเหล้าทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจบวม นอกจากนี้การใช้ยาบางตัวก็ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงจนตกไปอุดกั้นทางเดินหายใจได้ เช่น ยานอนหลับ ยาคลายเครียด ยารักษาภูมิแพ้ รวมไปถึงลักษณะทางกายภาพของสรีระใบหน้าก็มีส่วนทำให้เกิดโรคนี้ได้เช่นกัน โดยเฉพาะผู้ที่มีกรามสั้น ลิ้นใหญ่คับปาก ต่อมทอนซิลโต ฝาปิดกล่องเสียงอยู่ผิดที่หรือโน้มเอียงไปข้างหน้า หรือคนที่มีโรคประจำตัวอย่างภูมิแพ้
เมื่อมีภาวะนอนกรนหรือหยุดหายใจขณะหลับ นั่นหมายความว่าหัวใจคุณต้องทำงานหนักในการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงสมองและส่วนต่างๆมากขึ้น จนอาจทำให้หัวใจโต เส้นเลือดทำงานหนักขึ้นเสี่ยงต่อการปริแตก ความดันโลหิตสูง เลือดข้นขึ้นเพราะออกซิเจนไปเลี้ยงไม่พอ สมองขาดออกซิเจนทำให้ความจำเริ่มเสื่อม และที่คาดไม่ถึงคือ ทำให้สมรรถภาพทางเพศเสื่อมตามไปด้วย แต่ที่มีผลกระทบให้เห็นมากที่สุด คือ ประสิทธิภาพในการดำเนินชีวิตประจำวัน คงไม่สนุกแน่ ถ้าคุณต้องง่วงเหงาหาวนอนจนควบคุมตัวเองไม่ได้ตลอดวัน บางคนฟุบหลับขณะขับรถ บางคนหลับคาจานข้าว บางคนสมองเบลอจำอะไรไม่ได้ไปชั่วขณะ
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ แบ่งได้เป็น 3 ระดับ หากคุณหยุดหายใจขณะหลับไม่เกิน 5 ครั้งต่อชั่วโมงจัดว่าเป็นน้อย ถ้าตัวเลขพุ่งสูงขึ้นไปถึง 15 ครั้งต่อชั่วโมงถือว่าเริ่มผิดปกติ และหากเกิดขึ้น 25 ครั้งต่อชั่วโมงขึ้นไปจัดว่าอยู่ในขั้นรุนแรง ส่วนจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณอยู่ในระดับไหนนั้น ต้องไปทำ sleep test เพื่อหาความผิดปกติของการนอนหลับเบื้องต้น สำหรับคนที่มีแนวโน้มเกิดภาวะนี้อาจต้องได้รับการตรวจอย่างละเอียดด้วยเครื่องมือทันสมัยล่าสุดที่เรียกว่า Polysomnography ซึ่งจะบอกประสิทธิภาพการนอนหลับว่าหลับได้ดีหรือหลับสนิทแค่ไหน มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นขณะนอนหลับบ้าง ใช้เวลาในการตรวจวัด 6-8 ชั่วโมง หรือตลอดการนอนหลับ 1 คืน
ส่วนการรักษาโรคนี้มีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุว่ากรนหรือหยุดหายใจขณะหลับเพราะอะไร บางคนเป็นเพราะสรีระในช่องปากผิดปกติ ก็อาจต้องผ่าตัด จี้ด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูงหรือใส่เครื่องมือเพื่อปรับสภาพโครงสร้างในช่องปากให้ปกติ หากสาเหตุเกิดจากความอ้วน คนไข้ต้องลดน้ำหนักและควบคุมอาหาร หากสาเหตุเกิดจากการใช้ยารักษาโรคบางตัว เช่น ยาแก้ภูมิแพ้ ก็ต้องเปลี่ยนวิธีการรักษา ส่วนคนที่เป็นไม่มาก ก็อาจดูแลตัวเองด้วยการควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และเปลี่ยนท่านอนเป็นนอนตะแคง เป็นต้น
อีกวิธีที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยให้ผู้ป่วยหลับสบายไร้เสียงกรน นั่นคือ การใช้เครื่องช่วยหายใจ (Continuous Positive Airway Pressure: CPAP) ลักษณะเป็นหน้ากากออกซิเจนครอบจมูก ที่จะช่วยปล่อยแรงดันลมเบาๆ เข้าสู่จมูกผู้ป่วยเพื่อขยายช่องทางเดินหายใจ เมื่อช่องหายใจไม่ถูกอุดกั้นจะทำให้ผู้ป่วยหลับสนิท ไม่กรนและไม่หยุดหายใจเป็นช่วงๆ เครื่องนี้มีหลายแบบหลายราคาและสามารถพกพาไปที่ต่างๆ ได้ ผู้ป่วยที่สนใจควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกเครื่องที่เหมาะสมกับคุณ
ผมยาว :: สาวๆ ผมยาวถ้าอยากมีผมสลวยสวยเก๋ล่ะก็ สาวๆ ควรเลือกแปรงที่มีขนแปรงเป็นเหล็กและบุด้วยยาง จะช่วยให้เส้นผมไม่พันกันขณะหวี การเลือกใช้หวีชนิดนี้จะช่วยป้องกันการเกิดไฟฟ้าสถิตที่จะทำให้เส้นผมชี้ฟูไม่เป็นทรงได้ด้วค่ะ
แต่ถ้าสาวๆ ต้องการจัดทรงผมก็ควรใช้แปรงกลมขนาดใหญ่ที่ช่วยให้จัดทรงได้ง่ายขึ้น และทำให้ปลายผมได้รูปสวยและไม่ชี้ไปชี้มาค่ะ
ผมยาวประบ่า :: สาวๆ ที่มีผมยาวประบ่า ควรเลือกแปรงที่มีขนแปรงเรียวเล็กและบุด้านหลังด้วยยาง ถ้าขนแปรงยาวจะช่วยให้ผมไม่พันกัน ส่วนขนแปรงสั้นจะช่วยให้ผิวของเส้นผมเรียบลื่นนุ่ม
ผมหยักโศก :: สาวๆ ที่มีผมหยักโศกอาจจะพบกับหาเรื่องการจัดทรงผมค่อนข้างบ่อย สาวๆ ควรเลือกใช้หวีที่มีลักษณะคล้ายคราดแทนแปรง โดยเลือกที่ด้ามหวีกว้างแบนและห่าง เพราะหวีลักษณะนี้จะช่วยรักษาสภาพลอนผมให้เป็นทรงฟูได้เป็นอย่างดีค่ะ
เห็นรึเปล่าล่ะค่ะว่า การเลือก "หวี" หรือ "แปรง" สำหรับหวีผมนั้นก็มีความสำคัญกับเส้นผมของสาวๆ ไปไม่น้อยกว่าการบำรุงวิธีต่างๆ เลย เพราะจะนั้นต่อไปนี้สาวๆ ก็ต้องเลือกใช้หวี หรือแปรง ให้เหมาะกับผมของสาวๆ ด้วยนะคะ สาวๆ จะได้มีผมสวยๆ เงางามไว้อวดเพื่อนๆ ยังไงล่ะ
ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้จัดการโปรเจ็คหรือเป็นหนึ่งในทีมงานนั้น คุณก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการใช้สำนวนในการดำเนินโปรเจ็คได้เพราะในปัจจุบัน จะถูกใช้กันอย่างมากมายในออฟฟิศทั่วโลก ปัญหาก็คือคุณไม่สามารถหาคำแปลสำนวนเหล่านี้ได้จากดิกชันนารี เรียนรู้จากคำแนะนำจของเราเรื่องสำนวนภาษาที่ใช้กันในออฟฟิศเพื่อเตรียม พร้อมสำหรับโปรเจ็ควันพรุ่งนี้!
Define the scope หนึ่งในก้าวแรกของการดำเนินโปรเจ็คคือการระบุผลกระทบและขอบเขตของโปรเจ็ค หรือการสร้างproject scope และscopeควรให้รายละเอียดถึงผลิตผลสุดท้ายที่โปรเจ็คนี้ก่อให้เกิด
Establish a timeline ต่อไปคุณควรตัดสินว่าจะใช้ระยะเวลาเท่าใดในการทำแต่ละขึ้นตอนของโปรเจ็คนั้นให้สมบูรณ์โดยการสร้างtimeline เพื่อที่คุณจะรู้ว่าคุณอยู่จุดไหนของโปรเจ็คและทำเวลาได้ดีตรงตามที่กำหนดไว้หรือไม่จนกว่าโปรเจ็คนั้นจะสิ้นสุดลง
Specify target outcomes คุณจะวัดความสำเร็จของโปรเจ็คได้อย่างไร? มันสำคัญที่คุณต้องระบุ target outcomes หรือผลที่ต้องการที่ประมาณผลประโยชน์ได้เพื่อใช้ในการวัดความสำเร็จของโปรเจ็ค
Determine necessary outputs พิจารณาถึงผลผลิต บริการ ธุรกิจ การจัดการ หรือที่กล่าวรวมๆ ว่า outputs ที่จำเป็นเพื่อที่คุณจะบรรลุ target outcomes ให้เป็นผลสำเร็จ
Put a project team together บุคคลกรเป็นหัวใจสำคัญในความสำเร็จของโปรเจ็จของคุณ เลือกสรรเอาพนักงานที่มีความสามารถเข้ามาร่วมในproject teamของ คุณ นั่นคือทีมของผู้คนที่ร่วมกันทำงานเพื่อทำโปรเจ็คนั้นให้เป็นผลสำเร็จอย่าง ที่ตั้งไว้ คุณควรมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบให้แต่ละคนอย่างเหมาะสม
Record milestones เมื่อสมาชิกใน project team แต่ละคนทำสิ่งที่รับผิดชอบหรือขั้นตอนใดที่ระบุไว้สิ้นสุดลงแล้ว อย่าลืมทำการลงบันทึกไว้ด้วย Milestonesหมายถึงทั้งสิ่งที่สิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์ และสามารถใช้บ่งบอกถึงความก้าวหน้าของโปรเจ็ค
Create baseline metrics ความก้าวหน้าและการดำเนินไปของโปรเจ็คควรถูกประเมินโดยใช้ baseline metrics, ซึ่งก็คือกลุ่มของตัวบ่งชี้ที่ใช้วัดสมรรถภาพของโปรเจ็ค
Set a budget cost ตัดสินว่าคุณกะว่าโปรเจ็คนี้จะใช้งบประมาณเท่าใด และตั้งbudget costไว้ตั้งแต่การเริ่มต้นของโปรเจ็ค คุณสามารถปรับปรุง budget ของคุณและเพิ่มรายละเอียดได้ในภายหลัง
Produce deliverables เพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปเป็นผลอย่างน่าพอใจตามที่ตกลงไว้ อย่าลืมเตรียมdeliverables, อย่างเช่นรายงานหรือผลิตภัณฑ์ที่ต้องทำให้สมบูรณ์ แล้วก็ต้องทำให้เสร็จทันเวลาตามที่กำหนดไว้ด้วย!
Execute risk management ในทุกโปรเจ็คจะมีrisks หรือความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบถึงความสำเร็จหรือความล่าช้าของโปรเจ็คอยู่ด้วยเสมอ ผู้จัดการโปรเจ็คที่ดีจะดำเนินการกับ risk management โดยการระบุ วิเคราะห์ ประเมิน และกำจัดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สวยด้วยมีดหมอ ไม่ได้เป็นกระแสฮอตเฉพาะในหมู่แวดวงคนบันเทิง ดารา นางแบบ นักร้อง หรือนางงาม ที่ต้องหากินอยู่กับความสวยความงามเท่านั้น แต่ทุกวันนี้ กระแสนิยมการทำศัลยกรรมเสริมความงาม กำลังแพร่ระบาดไปทั่วทุกวงการ ไม่เว้นแม้แต่วัยรุ่นวัยทีน ที่ร่ำร้องอยากสวยใสแบบสาวเกาหลี...ซะเหลือเกิน!!
คำยืนยันจากศัลยแพทย์มือหนึ่งของเมืองไทย นพ.ปรีชา เตียวตรานนท์ หัวหน้าทีมศัลยแพทย์ตกแต่ง แผนกศัลยแพทย์ตกแต่ง โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ฉายให้เห็นแนวโน้มว่า สมัยก่อนการทำศัลยกรรมยังจำกัดอยู่ในกลุ่มแวดวงบันเทิง รวมถึงสาวประเภทสอง แต่ระยะหลังมานี้ ความนิยมในการทำศัลยกรรมเริ่มแพร่กระจายไปในกลุ่มสาวทำงาน มีจำนวนมากที่เก็บเงินเก็บทองมาทำตาสองชั้น, เสริมจมูก และที่น่าแปลกใจคือ ในระยะ 10 ปีมานี้ สาวไทยนิยมทำหน้าอกเพิ่มความอึ๋มกันเยอะขึ้นมาก จาก 0% พุ่งขึ้นเป็น 100% เพียงแต่ยังปกปิดเป็นความลับ เพราะถือเป็นจุดที่น่าอายที่สุด
ไม่เฉพาะแต่สาวทำงานเท่านั้น แม้แต่กลุ่มวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 20 ก็หันมานิยมการทำศัลยกรรม!! คุณหมอปรีชา เล่าว่า ในช่วง 2-3 ปีนี้ มีเด็กวัยรุ่นมาทำศัลยกรรมกับหมอเยอะมาก แต่กลุ่มนี้จะค้นคว้าหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตมาอย่างดี เข้าใจและรู้หมดว่าตัวเองกำลังทำอะไร อย่างบางคนอายุแค่ 15 - 16 ปี ก็ขอเสริมหน้าอกแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะนิยมเสริมหน้าอกให้ใหญ่ขึ้นแค่คัพเดียว ไม่ต้องการไซส์มโหฬาร การทำหน้าอกมีอยู่ด้วยกันหลายวิธีและหลายราคา สมัยก่อนเสริมหน้าอก เสียค่าใช้จ่าย 25,000 บาท แต่สมัยนี้ราคาพุ่งขึ้นเป็น 120,000 - 150,000 บาท ถ้าทำจมูกก็ตกราว 15,000 - 30,000 บาท จากสมัยก่อน ทำจมูกคิดแค่ 3,000 บาท
นอกจากจะฮิตการเสริมหน้าอกเพิ่มอึ๋มแล้ว คุณหมอยืนยันว่า เทรนด์การทำศัลยกรรมสไตล์เกาหลีก็มาแรงมาก วัยรุ่นไทยสมัยนี้ จะตัดรูปดาราเกาหลีมาให้หมอดูเป็นตัวอย่างว่า อยากได้ตาแบบนี้ จมูกแบบนี้ การทำศัลยกรรมสไตล์เกาหลี จะเน้นความเป็นธรรมชาติ มองด้วยตาเปล่าไม่รู้ว่าทำศัลยกรรม อย่างเช่น การทำตา จะเป็นตาสองชั้นทรงสระอิแบบเอเชีย หรือไม่ก็สองชั้นหางตาเตียวเสี้ยน มากกว่าจะเป็นตาสองชั้นใหญ่เป็นตากบดูลึกโบ๋แบบฝรั่ง ส่วนจมูก ก็นิยมแบบโด่งตรงและคม ไม่โด่งตั้งแบบฝรั่ง หรือเรียวแหลม บางคนยังเหลาคางให้เรียวลงด้วย แต่หมอจะไม่ค่อยแนะนำให้ทำ เพราะการเหลาคางเป็นเรื่องใหญ่มาก ต้องคุยกันให้เคลียร์ว่าอยากทำจริงๆ
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หนุ่มไทยจำนวนไม่น้อย ยังมาหาหมอเพื่อทำอวัยวะเพศจากเล็กให้ใหญ่เบิ้มขึ้นด้วย... "การผ่าตัดขยายขนาดอวัยวะเพศชาย เสียค่าใช้จ่าย 100,000 - 200,000 บาท โดยเทคนิคการทำต้องเริ่มจากการยืดอวัยวะเพศชายให้ยาวขึ้นราว 1 นิ้ว จากนั้นใส่วงแหวนเพื่อเพิ่มรอบวงขนาดอวัยวะเพศให้ใหญ่ขึ้น แต่ต้องระวังอย่างมาก ห้ามตัดโดนเส้นประสาทเด็ดขาด เพราะจะทำให้ความรู้สึกไม่เหมือนเดิม"
ส่วนการทำศัลยกรรมแปลกๆ ที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกัน คุณหมอปรีชาก็ได้แสดงฝีมือมาเยอะแล้วไม่ว่าจะเป็น การเสริมก้นให้อวบอิ่ม ทำโดยผ่าร่องก้นตรงกลาง แล้วสอดถุงซิลิโคนเข้าไปในแก้มก้นทั้ง 2 ข้าง สนนราคาอยู่ที่ 150,000 บาท อีกเคสที่น่าสนใจก็คือ การผ่าตัดแปลงเพศเปลี่ยนผู้หญิงเป็นผู้ชาย!! อันนี้นิยมทำในหมู่ทอมญี่ปุ่น เริ่มต้นคุณหมอจะให้คุยกับจิตแพทย์จนแน่ใจว่าอยากเป็นผู้ชายจริงๆ จากนั้นให้ฮอร์โมนเพศชายต่อเนื่องกัน 6 เดือน เพื่อปรับสภาพร่างกายให้พร้อม
เมื่อถึงเวลาผ่าตัด หมอจะเริ่มจากการตัดมดลูก, ตัดรังไข่ และปิดช่องคลอด แล้วจึงทำอวัยวะเพศชาย โดยใช้หนังและเส้นประสาทจากแขนคนไข้ หรือหน้าท้อง มาหุ้มซิลิโคนทำเป็นอวัยวะเพศชายและไข่ ผลที่ได้รับก็คือ ยืนปัสสาวะได้, มีอวัยวะเพศเหมือนกับจู๋ของเด็ก และสามารถร่วมเพศได้ แต่ไม่มีความรู้สึกเหมือนชายแท้ การผ่าตัดแบบนี้เสียค่าใช้จ่ายราว 300,000 บาท คนไข้ต้องทานฮอร์โมนเพศชายตลอดชีวิต
อย่างไรก็ดี คุณหมอปรีชากล่าวย้ำว่า การทำศัลยกรรมไม่มีอันตรายอย่างที่คิด ถ้าทำกับแพทย์ที่มีความชำนาญ และใช้ซิลิโคนแบบเพียวริไฟล์ สำหรับทางการแพทย์จริงๆ พักฟื้นแค่อาทิตย์เดียว ก็กลับไปทำงานได้ ส่วนที่มีข่าวจมูกเน่า หรือนมเน่า ส่วนใหญ่เกิดจากคลินิกเถื่อน ใช้ซิลิโคนผิดประเภท เช่น เอาซิลิโคนรถยนต์มาใส่ให้คนไข้ ถ้าอยากทำศัลยกรรม ต้องศึกษาข้อมูลให้ดีถึงผลดีผลเสีย เพราะการทำศัลยกรรมคือการผ่าตัด ไม่ใช่การเสริมสวย ยังไงก็มีความเสี่ยงในตัวเอง!!
***เอ... แล้วเพื่อนๆ ล่ะคะ สนใจอยากจะทำ "ศัลยกรรม" กันบ้างรึเปล่า? คิดดีๆ นะคะ ^O^/ การศัลยกรรม เป็นเรื่องที่เสียงอยู่เหมือนกันนะ...สวยแบบธรรมชาติให้มาน่าจะดีกว่าเนอะ ^ ^
ในชีวิตคนเรามีผู้คนมากมายที่ผ่านเข้ามาให้รู้จักมักคุ้น
แต่ในผู้คนมากมายเหล่านั้น
อย่างน้อยคงต้องมีใครบางคนที่ทำให้เรารู้สึก “ไม่ธรรมดา”
ที่จะนึกถึง เรียกว่าเป็น “ความพิเศษ”
ที่เราจะยกเว้นเอาไว้จากความปกติทั่วไปของจิตใจ
ก็ในเมื่อคำว่า “พิเศษ” หมายถึงความจำเพาะ ความแปลกแยก ความดีงาม ความอบอุ่นในหัวใจ
กระนั้นทำไมเราไม่ปฏิบัติต่อเขาให้ตรงกับที่ใจคิด
ให้ “ความรู้สึกดีดี” จากจิตใจที่ดีดี
ให้ “ความอาทรถึง” จากจิตใจที่นึกถึง
ให้ “ความห่วง” จากจิตใจที่เป็นห่วง
ให้ไปเถอะ ให้ไปอย่างดีดี แต่มี “สติ”
ให้ไปเถอะ ให้ไปอย่างอบอุ่น แต่ไม่ “คุกรุ่น”
ให้ไปเลย ให้ไปเท่าไหร่ก็ได้ แต่เมื่อให้ไปแล้วต้อง “ไม่ร้อนรุ่มกลัดกลุ้ม”
และหากเมื่อใดจิตใจอาจระส่ำระสาย สะดุดกับอะไรขึ้นมาบ้าง
ก็จงหยุดพักตรึกตรอง อย่าปล่อยให้พายุอารมณ์โถมพัด
“สิ่งดีดี” จนกระจัดกระจาย
เพราะ “การให้ความหมาย” ไม่ใช่ “การตั้งความหวัง”
คนสองคนให้ความหมายซึ่งกันและกัน แต่คนสองคน
“จะไม่ตั้งความหวังในกันและกัน”
เพราะการตั้งความหวังมักนำพาซึ่ง “การเรียกร้อง”
“ความอยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ” โดยที่ไม่รู้ตัว
มันร้อนนัก หนาวนัก และไม่เป็นสุข
เราต้องไม่ลืมปรับอุณหภูมิจิตใจเอาไว้ที่องศาอุ่นๆ
หากเริ่มรู้สึกตัวว่า ความร้อนเริ่มทวีขึ้น เราต้องค่อยๆ
เดินออกมาสูดอากาศเย็น
หากตรงกันข้ามเราก็ต้องหลบเร้นจากความหนาวมาหาไอแดดเช่นกัน
และอย่าลืมว่า “ความพิเศษ”
ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นพิเศษมากหรือพิเศษสุด
หรือพิเศษอย่างยิ่งในคนคนเดียว
ทั้งเราและเขาอาจจะมีคนพิเศษในวิถีชีวิตได้หลายลักษณะ
พิเศษในเรื่องนั้น พิเศษในเรื่องนี้
ในเมื่อหัวใจเป็นของเรา
เราก็ย่อมเลือกให้ความพิเศษกับใครก็ได้ที่เราจะไม่ต้องแลกกับความทุกข์อย่างพิเศษกลับมา
จงให้ “ความพิเศษ” เป็นชีวิตชีวา
เป็นแววตาที่แจ่มใส
เป็นความห่วงใยที่เมื่อนึกถึงทีไรก็ยิ้มได้
ไม่วิ่งหนี แต่ไม่วิ่งตาม
ไม่หักห้าม แต่ไม่กระโจนใส่
ไม่เป็นน้ำตาลที่หวานอ่อนไหว
แต่เป็นความอบอุ่นในหัวใจและเอื้ออาทร
จงเป็นความแจ่มใสในอารมณ์ของตัวเอง เป็นความชุ่มชื่น สดใส เช่นสายน้ำ
เป็นสีสันงดงามเช่นมวลผกา เป็นสีเขียวของใบไม้
ที่เย็นที่ตาและที่ใจ
และที่ตรงนี้ จะอีกนานเท่าใด ไม่ว่า “คนพิเศษ” คนนั้นจะอยู่ใกล้หรือต้องจากกันไกล
“ความพิเศษ” นั้นก็จะคงอยู่อย่างมีคุณค่า ณ ที่เดิม ที่ซึ่งใจข้างซ้ายตรงกัน
หลังจากที่ประสบความสำเร็จได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางสำหรับโครงการ ออกแบบ ชุดประจำชาติ สำหรับตัวแทนสาวไทยไป ประกวด นางงามจักรวาล (Miss Universe®) เมื่อปีที่ผ่านมา
ล่าสุด สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 เดินเครื่องเติมความฝันให้กับนักออกแบบรุ่นใหม่ชาวไทยอีกครั้ง โดยในปีนี้มีผลงานส่งเข้ามาร่วมโครงการถึง 1,476 ผลงาน โดยผลงานที่โดดเด่นชนะใจคณะกรรมการตัดสินได้แก่ “ญ.งามท้องถิ่นสุวรรณภูมิ” ของ นายธัชกร ตั้งธนกรกิจ คว้าเงินรางวัล 20,000 บาท พร้อมความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการประกวดนางงามจักรวาล 2009 (2009 Miss Universer)
ด้าน ธัชกร ตั้งธนกรกิจ เจ้าของผลงาน “ญ.งามท้องถิ่นสุวรรณภูมิ” เปิดเผยถึงแนวคิดและแรงบันดาลใจในการออกแบบผลงานชิ้นนี้ว่า “การออกแบบชุด ญ.งามท้องถิ่นสุวรรณภูมิ อยู่ภายใต้แนวคิด Creative Thai ที่ทางกองประกวดมิสไทยแลนด์ ยูนิเวิร์สกำหนดไว้ ซึ่งผมได้รับแรงบันดาลใจมาจาก ความสวยงามของผู้หญิงไทย ที่นอกจากจะมีความงามจากภายนอกแล้ว ยังงดงามออกมาจากภายในจิตใจ มีประกายความสดใสผ่องอำไพดุจดังทอง สมกับคำว่า สุวรรณภูมิ ดินแดนแห่งหญิงงาม”
โดยท่อนบนของชุด คาดด้วยผ้าทอสีเนื้อ ท่อนล่าง เป็นผ้านุ่งที่ใช้ผ้าทอสีน้ำตาลเข้มธรรมชาติ มีลวดลายแสดงถึงเอกลักษณ์ไทย นำมาจับ พับซ้อนให้เกิดระดับชั้น ซึ่งจะทำให้ผ้าผืนเรียบดูมีมิติราวกับมีชีวิตขึ้นมา ขณะที่ด้านหน้าของผ้านุ่งคาดทับด้วยผ้าปักลายนูน ตกแต่งด้วยดิ้นเงินระยิบระยับ
ส่วนเครื่องประดับ ได้แนวคิดจากเครื่องประดับของชาวไทยภูเขาที่เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงความงาม โดยนำทองเหลืองหลายชิ้นหลายขนาดซ้อนกันจนถึงระดับอก และให้พาดผ่านไหล่เสมือนสไบทองคำแท่งยาวจรดพื้น”
ธัชกร ตั้งธนกรกิจ จบการศึกษาระดับปริญญาตรีทางด้านภูมิสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ปัจจุบันเป็นนักออกแบบอิสระ เจ้าของบริษัทรับออกแบบตกแต่งภายใน และดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการสมาคมภูมิสถาปนิกประเทศไทย
สำหรับผลงาน “ญ.งามท้องถิ่นสุวรรณภูมิ” จะถูกนำไปพัฒนารายละเอียดเพิ่มเติม เพื่อตัดเย็บเป็นชุดประจำชาติ
ส่วน ไข่มุก-ชุติมา ดุรงค์เดช มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส ประจำปี 2552 สวมใส่ขึ้นเวทีการประกวดนางงามจักรวาล 2009 (2009 Miss Universe®) ที่เครือรัฐบาฮามาส เดือนสิงหาคม นี้ และหากชุดดังกล่าวได้รับการคัดเลือกเป็นชุดประจำชาติยอดเยี่ยม ช่อง 7 สี จะมอบเงินรางวัลพิเศษ 30,000 บาท ให้แก่ นายธัชกร ตั้งธนกรกิจ ผู้ออกแบบอีกด้วย
ทั้งนี้ โครงการออกแบบชุดประจำชาติ สำหรับตัวแทนสาวไทยไปประกวดนางงามจักรวาล จัดขึ้นเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน โดยผลงานที่ชนะเลิศในปีที่ผ่านมาได้แก่ “Spirit of Fighting” ของ นายสถาปัตย์ มูลมา นักศึกษาจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาวิชาการออกแบบนิเทศศิลป์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยโด่งดังไปทั่วโลก เมื่อ กวินตรา โพธิจักร มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส ประจำปี 2551 ได้รับการประกาศให้ได้รับรางวัลชุดประจำชาติยอดเยี่ยม บนเวทีนางงามจักรวาล 2008 (2008 Miss Universe®) ณ ประเทศเวียดนาม